ผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน วิชาการพยาบาลพื้นฐานและพฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาพยาบาล
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลัง
(One Group Pre-Post Test) เพื่อศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
การพยาบาลพื้นฐานและพฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนักศึกษา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย
รังสิต กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา จำนวน 84 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการพยาบาลพื้นฐานในภาค
การศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2549 การเรียนแบบร่วมมือใช้รูปแบบ Student Teams Achievement
Division (STAD) เป็นแนวทางในการจัดสอนการฝึกปฏิบัติการหัตถการทางการพยาบาลรวม 9 หัวข้อ
ได้แก่ การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย การตรวจสัญญาณชีพ และ
การเช็ดตัวลดไข้ การให้ออกซิเจนและการดูดเสมหะ การทำความสะอาดร่างกายและการทำเตียง การดูแล
เกี่ยวกับอาหาร น้ำ และอิเล็กโทรไลต์ การสวนปัสสาวะและการสวนอุจจาระ การดูแลผู้ป่วยที่มีแผล และ
การให้ยา
เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองประกอบด้วยแผนการสอน แฟ้มสะสมภาพหัตถการทางการพยาบาล
และคู่มือการเรียนแบบร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูล
ส่วนบุคคล แบบทดสอบความรู้ และแบบสอบถามพฤติกรรมการทำงานเป็นกลุ่ม ซึ่งแบบทดสอบความรู้
ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ตรวจสอบความยากง่าย (Difficulty
Index) ได้ค่า .394 อำนาจจำแนก (Discrimination Index) ได้ค่า .201 ส่วนแบบสอบถาม
พฤติกรรมการทำงานเป็นกลุ่มได้รับการตรวจสอบความเชื่อมั่นชนิดความสอดคล้องภายในด้วยสถิติ
สัมประสิทธ์ิอัลฟ่าของครอนบาคได้ค่า .92 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา Wilcoxon
Signed Ranks Test และ Friedman Test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า การเรียนแบบร่วมมือมีผลทำให้นักศึกษา มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติ (p= .000) และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 73.8) มีผลการเรียนระดับ B ขึ้นไป แต่การเรียน
แบบร่วมมือไม่มีผลต่อคะแนนพฤติกรรมการทำงานเป็นทีมโดยภาพรวม อย่างไรก็ตาม พบว่า พฤติกรรม
การทำงานเป็นทีม ด้านการติดต่อสื่อสารและการสร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีม แตกต่างจากก่อน
การเรียนแบบร่วมมืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p= .004 และ p= .008 ตามลำดับ) และผลการวิเคราะห์
ข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีความพึงพอใจรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ ทำให้มี
ความรับผิดชอบในตนเองมากขึ้น มีความมั่นใจในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและช่วยเหลือระหว่าง
เพื่อนมากขึ้น
ผลการวิจัยนี้ สนับสนุนการใช้การเรียนแบบร่วมมือในการสอนการฝึกปฏิบัติการหัตถการทาง
การพยาบาลในรายวิชาการพยาบาลพื้นฐาน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสารเอกสารอ้างอิง
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต. (2544). เอกสารหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตฉบับปรับปรุง พ.ศ.2544.
ปทุมธานี: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต.
ชิดกานต์ เจริญ และคณะ. (2549). “การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในวิชาการวิจัย
ทางการพยาบาล”. วารสารการศึกษาพยาบาล. 17,1: 48-59.
ปทีบ เมธาคุณวุฒิ. (2543). การจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เปี่ยมสุข กลิ่นเกษร. (2541). ผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อพฤติกรรมการทำงานกลุ่มและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักศึกษาพยาบาล. ปริญญานิพนธ์หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รพีพรรณ วิบูลย์วัฒนกิจ และ จิราจันทร์ คณฑา (2548). “ผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต”. พยาบาลสาร. 32 (2), 84-95.
สุวิทย์ มูลคำและ อรทัย มูลคำ. (2545). 19 วิธีจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ:
ภาพพิมพ์.
อำภาพร พัววิไล และคณะ. (2544). รูปแบบการเรียนของนักศึกษา. ปทุมธานี : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต.
Copp, S.L. (2002). “Using cooperative Learning Strategies to Teach Implications of the Nurse Practice Act.”
Nursing Education 27: 236-241.
Goodfellow, L.W. (1995). “Cooperative Learning Trategies : An Effective Methodof Teaching Nursing
Research”. Nurse Educ, 20, 1 (Jul-Aug): 26-29.
Huff, C. (1997). “Cooperative Learning: a Model for Teaching”. Journal of Nursing Education, 9 (November)
: 434-436.
Johnson, D.W. & Johnson, R.T. (1996). The Role of Cooperative Learning in Assessment and
Communicating Student Learning. (online) www.co-operation.org/pages/assess.html
Kagan, S. (1992). Cooperative Learning. San Juan: Kagan Cooperative Learning.
Slavin, R. (1991). Cooperative Learning: Theory, Research and Practice. Englewood Cliffs, NJ:
Prentice -Hall