วารสารพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl
<p><strong>เกี่ยวกับเรา</strong></p> <p> วารสารพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นวารสารวิชาการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิต ปัจจุบันอยู่ใน ฐานข้อมูล กลุ่มที่ 2 (ปี 2568-2572)</p> <p>สาขา Social Sciences ของ ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index Centre (TCI))</p> <p> </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> วารสารพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต มีวัตถุประสงค์ในการจัดทำเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการด้านพัฒนาการเรียนการสอน ของคณาจารย์</p> <p>นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน อันมีขอบเขตเนื้อหาเกี่ยวกับ</p> <p> - การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน</p> <p> - การพัฒนาศักยภาพของผู้สอน</p> <p> - การพัฒนารูปแบบการสอน</p> <p> - การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน</p> <p> - การพัฒนาเทคนิคการสอน</p> <p> - การสร้างหรือพัฒนาอุปกรณ์สื่อการสอนทั่วไป</p> <p> - การสร้างหรือพัฒนาอุปกรณ์สื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์ e-Learning หรือ นวัตกรรม</p> <p> - การปรับปรุงพัฒนาสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยสนับสนุนทางการเรียนรู้</p> <p> - การปรับปรุงพัฒนากระบวนการหรือวิธีการวัดและประเมินผล</p> <p> - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือทัศนคติของผู้เรียน</p> <p> - งานวิจัยในชั้นเรียน</p> <p> - ฯลฯ</p> <p>ISSN 2822-1400 (Print)</p> <p>ISSN 2822-146X (Online)</p>
มหาวิทยาลัยรังสิต
th-TH
วารสารพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต
2822-1400
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร
-
การพัฒนาชุดการเรียนการสอน เรื่อง วิวัฒนาการ
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5475
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ พัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาชีววิทยาทั่วไป เรื่อง วิวัฒนาการ<br>และศึกษาผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รวมทั้งศึกษาความ<br>พึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักศึกษา<br>ชั้นปีที่ 1 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาชีววิทยาทั่วไปในภาคเรียนที่ 1 ปี<br>การศึกษา 2552 จำนวน 38 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียน<br>คอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาชีววิทยาทั่วไปเรื่อง วิวัฒนาการ แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน<br>และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง วิวัฒนาการ จากนั้นนำข้อมูล<br>ที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ โดยใช้สถิติค่าทีด้วยโปรแกรม<br>สำเร็จรูป SPSS for Window<br>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สูงกว่า<br>ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียน<br>คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง วิวัฒนาการ มีค่าระดับเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.374 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br>เท่ากับ 0.631 แสดงให้เห็นว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องนี้ในระดับ<br>พึงพอใจมาก</p>
รวมพร มณีโรจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
5
13
-
การพัฒนาชุดการเรียนการสอน เรื่อง ระบบขับถ่าย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5476
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการสอนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และใช้เป็น<br>เครื่องมือสำหรับการวิจัยในชั้นเรียนในรูปของชุดการเรียนการสอน เรื่องระบบขับถ่าย ซึ่งบทเรียน<br>คอมพิวเตอร์ช่วยสอนชุดนี้ ใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาชีววิทยาทั่วไป 2 (BIO 133) กลุ่มตัวอย่าง<br>ที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ลงทะเบียนเรียน<br>วิชาชีววิทยาทั่วไป 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 57 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบ<br>ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนผ่านชุดการเรียน<br>การสอน และมีการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดการเรียนการสอนในด้านเนื้อหาและในด้าน<br>การเรียนการสอน<br>ผลการวิจัย เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS ในการคำนวณซึ่งได้จาก Paired t-test ด้วย<br>ความเชื่อมั่น 95% ปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบด้วยแบบทดสอบหลังเรียน สูงกว่าคะแนน<br>เฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียน ซึ่งมีความแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และผลจากการประเมิน<br>ความพึงพอใจ พบว่าผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ มีทัศนคติต่อชุดการเรียนการสอน เรื่องระบบขับถ่าย<br>ในด้านเนื้อหา และในด้านการนำเสนอ อยู่ในระดับดีมาก ดังนั้นผลการวิจัยครั้งนี้สรุปได้ว่า สื่อการเรียน<br>การสอนเรื่อง ระบบขับถ่ายชุดนี้ มีคุณภาพดีมากทั้งในด้านเนื้อหา และในด้านการนำเสนอสามารถช่วย<br>พัฒนาความรู้ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้แก่ผู้เรียนได้มากขึ้น</p>
วัฒนา แซ่โหลว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
14
23
-
การศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอน วิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียน
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5477
<p>การศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอน วิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ จำนวน<br>6 กิจกรรม โดยใช้เทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<br>จำนวน 6 กิจกรรม โดยยึดตามสิ่งที่ต้องการประเมินในชั้นเรียน พร้อมทั้งสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียน<br>ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักศึกษาจากคณะฯต่างๆ ที่ลงทะเบียน<br>เรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ (MAT100) ภาคเรียนที่ 2/2552 จำนวน 142 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบ<br>กลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย เอกสารประกอบการสอน สื่อ e-<br>Learning วิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ แผนการใช้เทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียน โดยยึดตามสิ่งที่ต้องการ<br>ประเมิน 5 ด้าน และแบบสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอน วิชาพื้นฐาน<br>คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นแบบสำรวจระดับเรียงอันดับ (Ordinal Scale) ชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับของ<br>ลิเคอร์ท (Likert's Scale) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ จำนวนและร้อยละ<br>ผลการศึกษา พบว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งหมด 6 กิจกรรม ผู้เรียนมีความพึงพอใจ<br>มากถึงมากที่สุดต่อกิจกรรมฝึกทำก่อนเรียน 10 นาที กิจกรรมนำเสนอแผนภาพตารางค่าความจริงของ<br>ตัวเชื่อมทางตรรกศาสตร์ กิจกรรมนำเสนอแผนภาพแสดงลักษณะการจับคู่ของฟังก์ชันทั้ง 4 แบบ กิจกรรม<br>นำเสนอ Power Point เรื่องโจทย์ปัญหากำหนดการเชิงเส้น กิจกรรมนำเสนอรายงานกลุ่ม เรื่องเมทริกซ์และ<br>ดีเทอร์มิแนนต์ และกิจกรรมเรียนรู้ด้วยสื่อ e-Learning คิดเป็นร้อยละ 80.30, 83.80, 73.20, 69.80, 86.60<br>และ 88.70 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาความพึงพอใจโดยภาพรวมของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมของ<br>รายวิชานี้อยู่ในระดับพึงพอใจมากถึงมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 86.70</p>
ศิริวรรณ วาสุกรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
24
37
-
การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุน การจัดการความรู้ของอาจารย์และบุคลากรคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล.
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5478
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการความรู้ พฤติกรรมการใช้<br>เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที และความคิดเห็นต่อการใช้ไอซีทีเพื่อสนับสนุนการจัดการ<br>ความรู้ในคณะเทคโนโลยีการเกษตร 2) สร้างและทดลองใช้ต้นแบบระบบไอซีทีเพื่อสนับสนุนการจัดการ<br>ความรู้ 3) นำเสนอระบบไอซีทีเพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้ที่เหมาะสมกับอาจารย์และบุคลากร คณะ<br>เทคโนโลยีการเกษตร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ อาจารย์และบุคลากรคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบัน<br>เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปี พ.ศ.2551 จำนวนทั้งสิ้น 152 คน วิธีดำเนินการวิจัย<br>เริ่มจากการสำรวจสภาพปัจจุบันของการจัดการความรู้ในคณะเทคโนโลยีการเกษตร พฤติกรรมการใช้ไอซีที<br>และความคิดเห็นต่อการใช้ไอซีทีสนับสนุนการจัดการความรู้ โดยส่งแบบสอบถามไปยังอาจารย์และ<br>บุคลากรคณะเทคโนโลยีการเกษตร เพื่อนำมาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการออกแบบและพัฒนาต้นแบบ<br>ระบบไอซีทีเพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้ จากนั้นให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของ<br>ต้นแบบระบบไอซีทีที่พัฒนาขึ้น แล้วจึงนำต้นแบบระบบไอซีทีไปให้อาจารย์และบุคลากรคณะเทคโนโลยีการ<br>เกษตรทดลองใช้เป็นเวลา 3 เดือน และทำการสัมภาษณ์อาจารย์และบุคลากรที่ทดลองใช้ระบบเกี่ยวกับ<br>ความพึงพอใจในการใช้งาน พฤติกรรมการใช้งาน การมีส่วนร่วม ผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งปัญหาและ<br>ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม<br>ผลการวิจัย พบว่า<br>1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของการจัดการความรู้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีกิจกรรมหรือ<br>กระบวนการจัดการความรู้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเกิดขึ้นในหน่วยงาน และมีการใช้ไอซีที เพื่อการจัดการความรู้<br>ในคณะเทคโนโลยีการเกษตรค่อนข้างน้อย<br>2) การทดลองใช้ต้นแบบระบบไอซีทีเพื่อ สนับสนุนการจัดการความรู้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความ<br>พึงพอใจในต้นแบบระบบไอซีทีที่พัฒนาขึ้น โดยเห็นว่าเป็นช่องทางที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีและรูปแบบ<br>การปฎิบัติงานในปัจจุบัน มีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยากนัก<br>3) ระบบไอซีทีเพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้ที่เหมาะสมกับอาจารย์และบุคลากรคณะเทคโนโลยี<br>การเกษตร มีโครงสร้างประกอบด้วย โฮมเพจ ส่วนแนะนำการใช้งาน ฐานข้อมูลการปฏิบัติงาน บันทึกความรู้<br>วิกิ รายชื่อสมาชิก กระดานสนทนา คลังความรู้ ดาวน์โหลด ระบบค้นหา สมาชิกดีเด่น ภาพกิจกรรม โดย<br>กระบวนการของระบบไอซีทีแบ่งตามขั้นตอนของการจัดการความรู้ ดังนี้<br>(1) การกำหนดสิ่งที่ต้องเรียนรู้<br>(2) การแสวงหาความรู้<br>(3) การสร้างความรู้<br>(4) การจัดเก็บและสืบค้นความรู้ และ<br>(5) การถ่ายโอนความรู้และใช้ประโยชน์</p>
ณัฐกร สงคราม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
38
53
-
การพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการทบทวน เรื่อง อุปกรณ์เครือข่าย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5479
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพและ<br>ประสิทธิภาพ และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยวิธีการสอนโดยอาจารย์ผู้สอนในห้องเรียนกับ<br>วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการทบทวน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็น<br>นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏ<br>นครศรีธรรมราช จำนวน 60 คน ใช้เวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 เครื่องมือที่ใช้<br>ในการวิจัยประกอบด้วย บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเครือข่าย<br>อินเทอร์เน็ต และแบบทดสอบเพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ<br>เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยวิธีการสอนโดยอาจารย์ผู้สอนในห้องเรียนกับวิธีการสอนโดยใช้<br>บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการทบทวน<br>ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีคุณภาพอยู่ในระดับดีขึ้นไป ทั้งด้านเนื้อหา<br>และด้านเทคนิคผลิตสื่อ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40<br>ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.36 ถึง 0.80 ค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.73 และค่าความ<br>เชื่อมั่นเท่ากับ 0.77 มีค่าประสิทธิภาพ E1 : E2 = 81.00 : 85.75 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80 : 80 และ<br>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการสอนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสูงกว่า<br>นักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการสอนโดยอาจารย์ผู้สอน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
อรวรรณ ระย้า
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
54
62
-
การประเมินความรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนจากกระบวนการถ่ายโอนความรู้ จากผู้สอนไปยังผู้เรียน
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5480
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการประเมินความรู้ที่ได้จากการรับรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน โดย<br>เน้นให้ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้ออกมาในรูปแบบของเอกสารหรือการกระทำที่เรียกว่า<br>externalize ได้ โดยทั่วไปแล้วในการเรียนการสอนความยากง่ายขององค์ความรู้ และรวมไปถึงการทำความ<br>เข้าใจในองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดโดยผู้สอนนั้น เป็นอุปสรรคและปัญหาของผู้เรียนในการทำความเข้าใจและ<br>ถ่ายทอดเนื้อหาที่เรียนออกมาเป็นองค์ความรู้ในรูปแบบของเอกสาร หรือคำพูดที่สามารถสื่อสารหรือ<br>อธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ นอกจากนี้คุณลักษณะขององค์ความรู้ก็เป็นปัญหาที่สำคัญของการถ่ายโอนความรู้<br>เช่นเดียวกัน เพราะบางครั้งคุณลักษณะขององค์ความรู้จะทำให้ผู้เรียนสับสน หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน<br>ในเนื้อหาที่เรียน ซึ่งในการทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้มุ่งศึกษาคุณลักษณะขององค์ความรู้และความสัมพันธ์ของ<br>คุณลักษณะขององค์ความรู้ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน ในขณะที่มีการเรียนการสอน<br>ในห้องเรียน โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือ ศึกษาค่าความ<br>สัมพันธ์ของคุณลักษณะขององค์ความรู้ที่คลาดเคลื่อนและซ้ำซ้อน (Knowledge Ambiguity) ที่ส่งผลต่อ<br>ความยากง่ายและความเข้าใจของผู้เรียน ประเด็นที่สอง คือศึกษาและหาค่าความสัมพันธ์ของคุณลักษณะ<br>ขององค์ความรู้ที่มีอยู่ของผู้เรียน (Knowledge Disruption) ที่ส่งผลกระทบต่อทัศนคติและพฤติกรรมของ<br>ผู้เรียนว่านำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในทางที่ถูกหรือไม่ การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้พัฒนารูปแบบของโมเดลแบบ<br>ประเมินความรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน และใช้รูปแบบวิธีวิจัยเชิงสำรวจโดยการเก็บข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่าง<br>ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาลัย<br>ราชภัฏสงขลา จำนวน 326 คน โดยสถิติที่ใช้คือ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบองค์ประกอบ (Factor Analysis)<br>เพื่อวิเคราะห์แบบสอบถามและสร้างโมเดลแบบประเมินความรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน และใช้สถิติเชิง<br>ถดถอย (Multiple Regression Statistic) เพื่อวิเคราะห์หาค่าความสัมพันธ์และทำนายข้อมูลตามวัตถุ-<br>ประสงค์<br>จากการศึกษาวิจัยพบว่า ความยากง่ายและความซ้ำซ้อนขององค์ความรู้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้<br>และรับรู้ของผู้เรียน โดยมีระดับค่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และการวิจัยนี้สามารถ<br>สุรปได้ว่าคุณลักษณะขององค์ความรู้มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน</p>
Korawan Suebsom
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
63
82
-
การรับรู้ต่อประสบการณ์การเรียนวิชาภาคปฏิบัติของนักศึกษา หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5481
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ต่อประสบการณ์การเรียน<br>วิชาภาคปฏิบัติของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต กลุ่ม<br>ตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 และ 4 ที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2548 และ 2549 คณะ<br>พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จำนวน 35 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ตามแนวทางที่ผู้วิจัย<br>สร้างขึ้น<br>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มีการรับรู้ต่อประสบการณ์การเรียนภาค<br>ปฏิบัติ 4 ด้าน คือ<br>1) สิ่งที่ได้จากการเรียนภาคปฏิบัติ ได้แก่ ความรู้และประสบการณ์ตรง ได้นำความรู้ทางทฤษฎีมา<br>ประยุกต์ใช้ทำให้เกิดความเข้าใจ จำได้ดีขึ้น ทำให้ทำข้อสอบได้ดีขึ้น เกิดทักษะความชำนาญ ทำให้เข้าใจ<br>ผู้ป่วยมากขึ้น ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เข้าใจพี่พยาบาลและเข้าใจพ่อแม่และผู้อื่นมากขึ้น อยากเปลี่ยนแปลง<br>ตนเองให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การฝึกภาคปฏิบัติมีผลต่อนักศึกษาในด้านต่างๆ คือ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้า<br>แสดงออก มีความมั่นใจมากขึ้นและมีเหตุผลมากขึ้น รู้จักและเข้าใจเพื่อนมากขึ้น เรียนรู้การปรับตัวกับเพื่อน<br>ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้การทำงานเป็นทีม และการประสานงานกับคนอื่น ฝึกควบคุมสติ<br>เกิดความภาคภูมิใจที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ ได้เรียนรู้การบริหารเวลาและเข้าใจบทบาทวิชาชีพ<br>คุณลักษณะพยาบาลวิชาชีพ<br>2) สิ่งที่ประทับใจ/สิ่งที่ไม่ประทับใจคือ อาจารย์และพี่พยาบาล รถรับ-ส่ง ตัวอย่างที่ไม่ดี<br>3) อุปสรรค/วิธีการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ได้แก่ ความหลากหลายของผู้ป่วยมีน้อย อาจารย์<br>ดุและมีแนวทางการสอนที่แตกต่างกัน อีกทั้งงานที่มอบหมายมากเกินไป หนังสือในห้องสมุดมีน้อยและเก่า<br>นักศึกษาอ่านหนังสือน้อย ทำให้ไม่เข้าใจจริงและไม่มั่นใจในการตอบคำถาม แหล่งฝึกไกล ต้องตื่น แต่เช้า<br>ทำให้นอนไม่พอและมีเวลาศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยจาก Chart น้อย<br>4) ข้อเสนอแนะต่ออาจารย์และการจัดแผนการฝึกภาคปฏิบัติ<br>ผลการวิจัยครั้งนี้ สะท้อนการรับรู้ต่อการเรียนวิชาภาคปฏิบัติของนักศึกษา หลักสูตรพยาบาลศาสตร<br>บัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต รวมทั้งข้อเสนอแนะจากนักศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ใน<br>การปรับปรุงการเรียนการสอนภาคปฏิบัติและการพัฒนาหลักสูตรต่อไป</p>
ดาริณี สุวภาพ
นงนภัส วิสุทธิ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
83
95
-
คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย: ฉไนไปไม่ถึงฝัน
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jrtl/article/view/5482
<p>-</p>
กาญจนา จันทร์ประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-02
2025-12-02
4 2
96
102