ปัจจัยความเชื่อข่าวลวงและการจัดการข่าวลวงด้านสุขภาพ ในสื่อออนไลน์ของนักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ
คำสำคัญ:
ข่าวลวง, ปัจจัยความเชื่อข่าวลวง, การจัดการข่าวลวงบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาพฤติกรรมและประสบการณ์การเปิดรับข่าวลวง 2. ศึกษาความสัมพันธ์ของประเด็นข่าวลวงที่สงสัยกับรูปแบบข่าวลวงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์ 3. เปรียบเทียบความคิดเห็นของนักศึกษานิเทศศาสตร์ที่มีคุณลักษณะทางประชากรต่างกันต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อข่าวลวงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์ และ 4. ศึกษาปัจจัยความเชื่อที่ส่งผลต่อการจัดการข่าวลวงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์ของนักศึกษาศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ
ประชากร ได้แก่ นักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ 8 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง อุตรดิตถ์ พิบูลสงคราม นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร รวม 1,769 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 326 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษานิเทศศาสตร์ เปิดรับข้อมูลด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์ในช่วงเวลา 12.01 – 15.00 น. มากที่สุด เปิดรับข้อมูล คือ 3 วันต่อสัปดาห์ วัตถุประสงค์ในการเปิดรับข่าวสารสุขภาพ 3 อันดับแรก คือ เพื่อดูแลและป้องกันสุขภาพ หาความรู้เพิ่มเติม และแก้ปัญหาและรักษาสุขภาพของตนเองและผู้อื่น ส่วนสื่อออนไลน์ที่เคยเปิดรับข่าวที่สงสัยว่าเป็นข่าวลวงด้านสุขภาพมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เฟซบุ๊ก รองลงมาคือ เว็บไซต์ต่าง ๆ และไลน์ ตามลำดับ
สำหรับประเด็นข้อมูลที่สงสัยว่าเป็นข่าวลวงที่มีความสัมพันธ์กับรูปแบบข่าวลวงด้านสุขภาพมี 3 ประเด็น คือเรื่องสมุนไพร ปัญหาชีวิต และเพศศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 นอกจากนี้ยังพบว่า นักศึกษานิเทศศาสตร์ชั้นปีต่างกันมีความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อข่าวลวงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์ไม่แตกต่างกัน ส่วนปัจจัยผู้รับสาร และปัจจัยผู้เผยแพร่ข่าวด้านสุขภาพ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการข่าวลวงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ข้อความและความเห็นในวารสารการสื่อสารและการจัดการ นิด้า (E-journal) เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน มิใช่ของคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์