คุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลวังมะนาว อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี

Main Article Content

สามารถ กิมก่ง
รัชยา ภักดีจิตต์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ (1) เพื่อประเมินระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลวังมะนาว อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (2) เพื่อระบุปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชน (3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลวัมะนาว อำเภอปากท่อจังหวัดราชบุรี โดยการวิจัยเชิงผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ จำนวน 400 คนเก็บข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 15 ราย และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติ ร้อยละ ค่า เฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย (1) ระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชน พบว่า ด้านสุขภาพร่างกาย มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.22 ด้านจิตใจมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.43 ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.18  และด้านสิ่งแวดล้อมมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ เท่ากับ 3.41 (2) ปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ ปัญหาด้าน ด้านสุขภาพร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม และด้านสภาพแวดล้อม และ (3) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลวังมะนาว อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ประกอบด้วย (ก) การให้ความรู้เรื่องภาวะสุขภาพ การดูแลตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ (ข) การดูแลสุขภาพคนกลุ่มเปราะบาง เช่นผู้สูงอายุ เด็กปฐมวัย และเด็กวัยเรียน (ค) การจัดให้มีการรวมกลุ่มประชาชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสมาชิกในกิจกรรมต่างๆร่วมกัน (ง) การกำหนดเป็นนโยบายในการเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชน

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

อนรรฆ อิสเฮาะ. (2562). คุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลสะกอม อําเภอ เทพา จังหวัดสงขลา. ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

WCED (The World Commission on Environment and Development) (1987). Our Common Future. Oxford

University Press (“The Brundtland Report”).

The WHOQOL GROUP. (1995). “The World Health Organization Quality of Life Assessment (WHOQOL),”

Social Sciences Medicine. 41 (10),1403 -1409. WHO. (2002).