ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ

Main Article Content

วีระ คูณทอง
สมาน ประวันโต

บทคัดย่อ

        บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 4) การศึกษาอำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 335 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหาร ข้อคำถามทุกข้อมีค่า IOC เท่ากับ 0.80 – 1.00 สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน


          ผลการวิจัยพบว่า


          1) ผลการศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบึงกาฬ พบว่าโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก


2) ผลการศึกษาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบึงกาฬ พบว่า โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก


          3) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับระบบประกันคุณภาพภายในของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่าง                มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


          4) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสถานศึกษาสามารถร่วมกันพยากรณ์ระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ได้ร้อยละ 58.00 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


          สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ Ŷ = 0.688 + .406x6 + .166 X3 +.135 X4 + .108 X1
          สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ Z = .426X6+ .200X3 + .179X4 +.113 X1

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
คูณทอง ว., & ประวันโต ส. (2025). ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ. เสฏฐวิทย์ปริทัศน์, 5(1), 571–582. สืบค้น จาก https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/2053
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

จุฬาลักษณ์ โสระพันธ์. (2564). บทบาทของผู้บริหารการศึกษายุคดิจิทัล. เรียกใช้เมื่อ 25 ตุลาคม 2564, จาก https://adacstou.wixsite.com/adacstou/single-post/.

ชูศรี วงศ์รัตนะ (2541) เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพมหานคร ศูนย์หนังสือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ธนกร วิชิระนิธิกุล (2566). ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ. วารสารนวัตกรรมการบริหารการศึกษา. 5(4), 28-41.

นารีรัตน์ คณาจันทร์ และวันทนา อมตาริยกุล (2563) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ การประกันคุณภาพในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาจังหวัดหนองบัวลำภู วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล,6(2),152-161.

บุญชม ศรีสะอาด (2560) การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร: สุริยาสาส์น.

เมฐิตา วงษ์คลองเขื่อน และพนายุทธ เชยบาล. (2565). ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ

การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้น ที่การศึกษาประถมศึกหนองคาย. วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, 4(2), 1-17.

รัชนีกร เศษโถ และเกรียงศักดิ์ ศรีสมบัติ. (2565). ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ การ

ดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2. วารสารการบริหารจัดการและนวัตกรรมท้องถิ่น. 4(6), 107-125.

เลอศักดิ์ ตามา และสุมาลี ศรีพุทธรินทร์. (2564). ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ การ

ดำเนินงานระบบประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 22. วารสารรัชต์ภาคย์. 15(38), 224-240.

สกาวรัตน์ เมืองจันทร์ และกัญญ์รัชการย์ เลิศอมรศักดิ์. (2565, August). ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของ ผู้บริหาร สถานศึกษาในรายงานการประชุม Graduate School Conference, 4(1), 1283- 1289.

Krejcie R.V., & D.W. Morgan. (1970). Determining Sample Size for Research Activities.Educational and Psychological Measurement. 30(3):607-610.