เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw <p><strong> นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong> วารสารเสฏฐวิทย์ปริทัศน์ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์ กำหนดเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ</p> <p><strong> กระบวนการพิจารณาบทความ :</strong> บทความที่เผยแพร่จะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ทราบข้อมูลของผู้ส่งบทความ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ : </strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย</li> <li>บทความวิชาการ</li> <li>บทวิจารณ์หนังสือ</li> </ol> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong> ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ </p> <p><strong>ค่าตีพิมพ์</strong></p> <p>4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน)</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร : </strong></p> <p>วารสารกำหนดวงรอบการเผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม </p> <p> </p> <p><strong>การติดต่อประสานงานและส่งบทความเผยแพร่ :</strong></p> <ol> <li>สอบถามรายละเอียดเบื้องต้น เช่น รอบการเผยแพร่ หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ เป็นต้น โทร. 084 886 8052; 092 746 7383</li> <li><a title="คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" href="https://drive.google.com/drive/my-drive">Clik คำแนะนำสำหรับผู้เขียน และเทมเพลตบทความ</a></li> <li>สแกนไลน์ กลุ่มวารสารฯ เพื่อการติดต่อประสานงานเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><img src="https://so12.tci-thaijo.org/public/site/images/setthawit138/mceclip0.png" /></p> <p> </p> th-TH sanan.pra@mcu.ac.th (ดร.สนั่น ประเสริฐ) Palakorn8052@gmail.com (ดร.พลากร อนุพันธ์) Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แรงจูงใจและสมรรถนะในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของบุคลากร สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/2781 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความสำคัญของแรงจูงใจ สมรรถนะการปฏิบัติงานและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน <br />(2) แรงจูงใจ และสมรรถนะในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 318 คน ซึ่งมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย <br />สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน สถิติที่ใช้ในการดำเนินการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระดับความสำคัญของแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน สรรถนะในการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า ปัจจัยแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ <br />ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านความมั่นคงของงาน และด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีอำนาจในการทำนายประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทานร่วมกันร้อยละ 73.70 และปัจจัยสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ด้านบริการที่ดี ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านการสั่งสมความเชี่ยวชาญส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีอำนาจในการทำนายสมรรถนะในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน ร่วมกันร้อยละ 72.10</p> จินต์วรา ศรีมูล, ศิริกานดา แหยมคง, ชัชชัย สุจริต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/2781 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรม ทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติ ของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4235 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้การเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างของการเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และ 3) เพื่อสร้างรูปแบบการเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 384 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติ ของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความเชื่อทางศาสนา 2) พิธีกรรมทางศาสนา 3) ความสัมพันธ์ในเครือญาติของชุมชน 2) ผลการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้การเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามิติความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาในประเพณีบุญข้าวสากเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเครือญาติของชุมชนเชิงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทั้ง 3 องค์ประกอบหลัก 9 องค์ประกอบย่อย และ 45 ตัวบ่งชี้ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) โมเดลมีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) ซึ่งพิจารณาจากค่า χ<sup>2</sup> = 18.867, df = 24, p-value = 0.759, CFI = 1.000, TLI = 1.002, SRMR = 0.062, RMSEA = 0.030, χ<sup>2</sup>/df = 0.786 และความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้าง (Construct Reliability : CR) เท่ากับ 0.987 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.60 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับข้อมูลเชิงประจักษ์</p> บรรจง ลาวะลี, พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน), พระครูสีลสราธิคุณ, สงวน หล้าโพนทัน, ไกรราช แก้วเกตุพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4235 Sat, 04 Oct 2025 00:00:00 +0700 พุทธบูรณาการการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่นคงของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4311 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่นคงของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธบูรณาการเพื่อการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่นคงของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) เพื่อถ่ายทอดแนวทางพุทธบูรณาการการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่งคงของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method) การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบโควต้า จำนวน 400 คน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่นคงของมนุษย์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ยรวม 3.030) 2) หลักพุทธบูรณาการเพื่อการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่นคงของมนุษย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ยรวม 3.130) 3) แนวทางพุทธบูรณาการการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตวิถีใหม่และความมั่งคงของมนุษย์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ยรวม 3.140) ปัจจัยที่มีผลต่อแนวทาง ทุกตัวแปรปัจจัยมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยเขียนสมการในรูปของคะแนนดิบ = 0.163 (มิติการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ) + 0.116 (มิติการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนแบบจตุรภาคี) +0.106 (มิติการบริบาลผู้สูงอายุในสถานพยาบาล) + 0.105 (มิติการสร้างเครือข่ายสุขภาพและโอกาส) + 0.104 (หลักสังคหะวัตถุ 4) + 0.097 (หลักสัปปายะ 7)+0.071 (หลักกายภาวนา 4) และ สมการในรูปของคะแนนมาตรฐาน = 0.223 (มิติการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ) + 0.167 (มิติการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนแบบจตุรภาคี) +0.140 (มิติการบริบาลผู้สูงอายุในสถานพยาบาล) + 0.146 (มิติการสร้างเครือข่ายสุขภาพและโอกาส) + 0.128 (หลักสังคหะวัตถุ 4) + 0.120 (หลักสัปปายะ 7)+0.100 (หลักกายภาวนา 4)</p> เวชสุวรรณ อาจวิชัย, พระครูกิตติวราทร, พระมหาไทยน้อย ญาณเมธี, สงวน หล้าโพนทัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4311 Thu, 16 Oct 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4345 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ และ 3) ประเมินแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ประชากรในการศึกษา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 681 คน จาก 26 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ปีการศึกษา 2565 ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 245 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.934 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสถิติสำเร็จรูป หาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 ใช้เครื่องมือเป็นแบบประเมินแนวทาง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้และด้านความเป็นประโยชน์</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) จากการศึกษาสภาพปัจจุบันของทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ พบว่า ได้องค์ประกอบ 5 ด้าน ยืนยันโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และ 3) ผลการประเมินการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> ราตรี เลิศหว้าทอง, คมคาย อุดรพิมพ์, พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4345 Wed, 08 Oct 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4648 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อกลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลตำบลโนนสูง ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 357 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า:</p> <p> 1) กลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการให้บริการเสมอภาค ด้านการให้บริการที่ตรงต่อเวลา ด้านการให้บริการอย่างก้าวหน้า ด้านการให้บริการอย่างเพียงพอ และด้านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของบุคลากรต่อกลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางพัฒนากลยุทธ์การให้บริการสาธารณะเทศบาลตำบลโนนสูง พบว่า เทศบาลตำบลโนนสูง ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน เพื่อให้บุคลากรมีความเข้าใจ มีทักษะในการปฏิบัติงาน มีจิตใจที่เอื้อต่อการให้บริการที่ดีและให้บริการแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธิดามน คำลอย, พระมหาไทยน้อย ญาณเมธี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4648 Sun, 19 Oct 2025 00:00:00 +0700 พลวัตความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา สังคม และวัฒนธรรม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4668 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ ความสัมพันธ์เชิงพลวัตและรากฐานทางทฤษฎีของการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทแกนกลางของ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมศาสนา เป็นมากกว่าความเชื่อส่วนบุคคล หากแต่เป็นระบบความเชื่อ กลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบสังคม ศาสนาทำหน้าที่หลักในการสร้างความหมายและศีลธรรมให้กับชีวิต โดยสร้างจิตสำนึกร่วม ทำให้มนุษย์แยกแยะระหว่าง ความศักดิ์สิทธิ์กับบรรทัดฐานและค่านิยม พิธีกรรมทางศาสนาจึงนำไปสู่ความสามัคคีทางสังคม การหล่อหลอมค่านิยมและบรรทัดฐานร่วมกัน นอกจากนี้ แนวคิดเชิงตีความยังชี้ว่าศาสนาเชื่อมโยงโลกทัศน์เข้ากับจริยธรรม อย่างเป็นระบบ</p> <p> ดังนั้น ศาสนสถานจึงเป็นศูนย์กลางชุมชนและกลไกควบคุมทางสังคม ที่ส่งเสริมเสถียรภาพ การก่อเกิดของสังคม เป็นผลผลิตของกระบวนการวิวัฒนาการที่ยาวนาน ขับเคลื่อนด้วยแรงหลักสามประการ คือ ความอยู่รอดตามหลักชีววิทยา สัญญาประชาคม เพื่อแลกกับความปลอดภัย การจัดระเบียบการผลิตทางเศรษฐกิจ สังคมได้พัฒนาจากกลุ่มนักล่าขนาดเล็กสู่สังคมเกษตรกรรมที่มีรัฐและชนชั้น การก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมภายใต้ระบบทุนนิยม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมเป็นพลวัตที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับวัฒนธรรมนั้น ถูกมองจากมุมมองที่หลากหลาย ทฤษฎีวิวัฒนาการมองว่าวัฒนธรรมเป็นผลผลิตจากการสั่งสมความรู้และปัญญาเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้า ขณะที่ทฤษฎีปฏิบัติ เสนอว่าวัฒนธรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปฏิบัติและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมประจำวันผ่านกลไกทุนทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจองค์ประกอบทั้งสามนี้อย่างรอบด้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการแสวงหาแนวทางในการธำรงไว้ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสันติสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม</p> พลากร อนุพันธ์, หัทยา ผิวฟัก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/4668 Wed, 08 Oct 2025 00:00:00 +0700 บทบาทใหม่ของผู้นำทางการศึกษาในโลกดิจิทัล: จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/2657 <p> โลกดิจิทัลในปัจจุบัน ผู้นำทางการศึกษามีบทบาทสำคัญในการปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาให้เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ โดยผู้นำการศึกษาควรเริ่มต้นด้วยการสร้าง วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีเข้าสู่สถานศึกษา และกำหนด กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลง ที่สามารถปฏิบัติได้จริง เพื่อเสริมสร้างการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมและพัฒนาทักษะดิจิทัลของทั้งครูและนักเรียนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ผู้นำการศึกษาควรสร้างโอกาสให้ครูได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสอนและเรียนรู้ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีในการ บริหารจัดการการศึกษา จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินผลและการสื่อสารภายในโรงเรียน การสร้าง สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่ผู้นำการศึกษาควรใส่ใจ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังควรสร้าง เครือข่ายการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างสถานศึกษา การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยให้การศึกษาในยุคดิจิทัลมีคุณภาพและยั่งยืน</p> กฤตยากร ลดาวัลย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เสฏฐวิทย์ปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/stw/article/view/2657 Fri, 07 Nov 2025 00:00:00 +0700