การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของบุคลากรต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำแนกตาม ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยบุคลากรจากโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 319 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) อ้างอิงจากตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ในช่วง 0.80–1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ที่ 0.80 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (F-test) และการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffé)
ผลการวิจัยพบว่า
- การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนเอกชนจังหวัดเพชรบูรณ์อยู่ในระดับ "มาก" ทั้งในภาพรวมและในแต่ละด้าน
- การเปรียบเทียบตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงานของบุคลากร พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทั้งในภาพรวมและในแต่ละด้าน
- การเปรียบเทียบตามตำแหน่งหน้าที่ พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการวางแผนการใช้แหล่งเรียนรู้ ซึ่งไม่พบความแตกต่าง
- แนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ พบว่า ในด้านการวางแผน ควรมียุทธศาสตร์และเป้าหมายร่วมกันระหว่างผู้ให้และผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ ในด้านการสร้างและพัฒนา ควรส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากแหล่งภายนอกที่เกี่ยวข้อง ในด้านการกำกับติดตามและประเมินผล ควรมีการประเมินร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนเพื่อใช้ข้อมูลในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และในด้านการสรุปผลและรายงาน ควรมีการจัดทำคู่มือและเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการนำไปใช้และพัฒนาต่อในอนาคต
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2559). แผนการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2560 – 2574. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ.
ขนิษฐา กาตั้ง. (2561). การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนบ้านแม่แดดน้อย อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่. ใน วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.
ศิลป์ชัย อ่วงตระกูล. (2552). การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนร่วม สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 4. ใน วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย.
ธัญรัตน์ บุตรพรหม. (2561). การพัฒนาการบริหารแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนท่าชนะสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี. ในวิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี.
ปิลันธ์ ปาวิชัย. (2567). รูปแบบการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ในวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ศศิวรรยาห์ มากผ่อง. (2567). “การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียนโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1”. วารสารวิจัยวิชาการ, 7 (2), 117-128.
ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ. (2556). การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.). (2567). สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.). เรียกใช้เมื่อ 31 ตุลาคม 2567 จาก https://www.catalog.moe.go.th/th/organization/about/opec
วิจิตร วรุตบางกูร และสุพิชญา ธีระกุล (2556). การบริหารโรงเรียนและการนิเทศการศึกษา เบื้องต้น. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Krejcie, R. V. and Morgan, D. W. (1970). “Determining sample size for research activities”. Educational and psychological measurement, 30(3), 607-610