ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษา ฯ และ 3) นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษา ฯ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 742 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ซึ่งได้มาโดยการเปิดตารางยามาเน่ n= 260 เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1) พฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ พบว่า ประเภทของสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษที่นักศึกษาอ่านมากที่สุดคือ หนังสืออ่านเล่น จำนวน 116 คน (ร้อยละ 44.61) รองลงมาคือ หนังสือความรู้ทั่วไป จำนวน 61 คน (ร้อยละ 23.46) และหนังสือเรียน จำนวน 45 คน (ร้อยละ 17.30) ตามลำดับ แหล่งการเรียนรู้ที่อ่านมากที่สุดคืออินเทอร์เน็ต จำนวน 152 คน (ร้อยละ 58.46) สถานที่ที่นักศึกษาชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากที่สุดคือที่บ้าน จำนวน 122 คน (ร้อยละ 46.92) รองลงมาคือ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย จำนวน 69 คน (ร้อยละ 26.53) และร้านจำหน่ายหนังสือ จำนวน 25 คน (ร้อยละ 9.61) ตามลำดับ นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เวลาในการอ่านภาษาอังกฤษเฉลี่ย 1 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที
2) ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการอ่านภาษาอังกฤษ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.814, S.D. = 1.034) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีระดับ ความคิดเห็นมากเรียงตามลำดับ คือ ด้านเจตคติต่อการอ่านมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ( = 4.131, S.D. = 0.936) ด้านแรงจูงใจในการอ่านอยู่ในระดับมาก ( = 4.021, S.D. = 1.003) และด้านพฤติกรรมการอ่านอยู่ในระดับมาก ( = 3.948, S.D. = 1.024)
3) แนวทางในการส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาฯ พบว่า มหาวิทยาลัยควรดำเนินการใน 4 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านสภาพแวดล้อมในการอ่าน ควรจัดระบบการค้นหาหนังสือ พื้นที่บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์ สถานที่ให้บริการให้เหมาะสมและเพียงพอกับนักศึกษา 2. ด้านแรงจูงใจในการอ่าน ควรจัดให้มีหนังสือภาษาอังกฤษที่เป็นความรู้แปลกใหม่ น่าสนใจ หลากหลายมากขึ้น 3. ด้านเจตคติต่อการอ่าน นักศึกษาต้องการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ในการทำงานในอนาคต ทันสถานการณ์โลก และเพื่อค้นคว้าข้อมูลในการวิจัย มหาวิทยาลัยควรมีการจัดหาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ในการอ่านหนังสือที่ทันสมัยเพื่อส่งเสริมการอ่าน และ 4. ด้านพฤติกรรมการอ่าน ผู้สอนควรแนะนำให้นักศึกษาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษด้วยตนเองและส่งเสริมให้ใช้อินเทอร์เน็ตในกิจกรรมการเรียนการสอนให้สนุกมากขึ้น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ชมนาด บุญอารีย์. (2563). การอ่านเล่นในสังคมไทย. วารสารสารสนเทศศาสตร์, 38(4), 82-104.
โชติมา วัฒนะ. (2561). พฤติกรรมการอ่านหนังสือของนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารบรรณศาสตร์ มศว, 11(2), 185-195.
ญานิศา ภูมิรพีภร และนิพา ผลสงเคราะห์. (2565). พฤติกรรมการอ่านหนังสือและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการอ่านหนังสือของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 14. มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม. “วิจัยสร้าง Innovation and Technology เพื่อรองรับสังคมไทยสู่ยุค Digital World” (7- 8 กรกฎาคม 2565). (หน้า 2161 – 2172).
บุญชม ศรีสะอาด. (2560). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ปราณีต ม่วงนวล. (2560). การอ่านคิดวิเคราะห์ (Analytical Reading). กรุงเทพฯ: สหธรรมิก.
ปราณีต ม่วงนวล, อรุณวรรณ ชูสังกิจ, วิโรจน์ เจษฎาดิลก และยอร์ช เสมอมิตร. (2568). “เจตคติของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ตามแนวการสอนแบบ ACTIVE Reading และเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ สําหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา”. Journal of Interdisciplinary Social Development (JISDIADP). 3(1, January-February 2025). TCI กลุ่ม 2, 1-15.
พัชรินทร์ บุตรสันเทียะ. (2562). การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิด Task Based Learning ร่วมกับ คำถามของบลูม. ใน วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย.มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ยุภาวดี โคษา. (2565). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนิสิตระดับปริญญาตรีที่สอบผ่าน (SWU-SET) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ใน ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการอุดมศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
รักษมน ยอดมิ่ง. (2562). แรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษและการใช้ระบบการจัดการเรียนรู้มายคอร์สวิลลในชั้นเรียน. วารสารเกษมบัณฑิต, 20(1), 81 - 91.
วันเพ็ญ ภุมรินทร์ และคณะ. (2563). ทัศนคติในการเรียนที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการเรียน ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, 15(2), 29 - 42.
สิริดนย์ แจ้งโห้ และคณะ. (2564). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาในการอ่านภาษาอังกฤษของนิสิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร. วารสารอักษราพิบูล, 2(2), 42-56.
สุดารัตน์ โพธิ์สระ และอมรเทพ วันดี. (2567). การศึกษาแรงจูงใจและพฤติกรรมการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ไม่ใช่วิชาเอกภาษาอังกฤษ: กรณีศึกษานักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพลศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์, 9(1),214 – 227.
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2545). หลักและวิธีสอนอ่านภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
สมศักดิ์ พันธ์ศิริ และสินทรัพย์ ยืนยาว. (2560). พฤติกรรมการอ่านของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. รมยสาร, 15(1), 107- 117.
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้. (2556). อ่านเขา อ่านเรา. กรุงเทพฯ: มาตาการพิมพ์.
Alderson, J. C. (2000). Assessing reading. Cambridge: Cambridge University.
Bartlett, F. C. (1932). Remembering. Cambridge: Cambridge University Press.
Bloom, B.S. (1959). Bloom, B.S. (1959). Taxonomy of education objectives: The classification goals. (1st, ed.). New York: Longman.
British Council. (2567). ทักษะการอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษสำคัญอย่างไรกับลูกของคุณ. เรียกใช้เมื่อ 12 พฤษภาคม 2567 จาก https://www.britishcouncil.or.th/english/tips/general/reading
Day, R. R. & Bamford, J. (1998). Extensive reading in the second language classroom. New York: Cambridge University Press.
Davis, G. (2016). Learn to read: Why is reading important? Called on May 12, 2024 from https://www.learn-to-read-prince-george.com/why-is-reading-
Grabe, W. & Stoller, F. L. (2002). Teaching and researching reading. Hong Kong: Pearson Education, Inc.
Lapp, D; & Flood. J. (1986). Teaching Students to Read. New York: Macmillan.
_________. (1992). Teaching reading to every child. (3rded.). New York: Macmillan.
Likert, R. (1967). The human organization: Its management and value. New York: McGraw-Hill.
Ryan, M. R. & Deci, L. E. (2000). Intrinsic and Extrinsic Motivations: Classic Definition and New Directions. Contemporary Educational Psychology, 25, 54-67.
Yamane, T. (1967). Statistics and introductory analysis. (3rd ed.). New York, NY: Harper & Row.