https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/issue/feed วารสารปราชญ์ประชาคม 2025-10-31T22:00:05+07:00 รศ.ดร.เกศินี ประทุมสุวรรณ j.scholarcom@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>ปัจจุบัน วารสาร "ปราชญ์ประชาคม" เปิดรับบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์ ปี 3 ฉบับที่ 4 ระหว่างเดือน <span class="S1PPyQ">กรกฎาคม - สิงหาคม </span>2568</strong></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">วารสารปราชญ์ประชาคม</span> <span class="S1PPyQ">เปิดรับบทความตีพิมพ์ ทั้งบทความวิจัย บทความวิชาการและบทความปริทัศน์ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </span><span class="S1PPyQ">กำหนดออกวารสาร ปีละ 6 ฉบับ ๆ ละ 10-20 บทความ</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 1</span> <span class="S1PPyQ">มกราคม</span> <span class="S1PPyQ">-</span> <span class="S1PPyQ">กุมภาพันธ์ (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 28 กุมภาพันธ์)</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 2</span> <span class="S1PPyQ">มีนาคม - เมษายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 เมษายน)</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 3</span> <span class="S1PPyQ">พฤษภาคม - มิถุนายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 มิถุนายน)</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 4</span> <span class="S1PPyQ">กรกฎาคม - สิงหาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 สิงหาคม)</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 5</span> <span class="S1PPyQ">กันยายน - ตุลาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ตุลาคม)</span></p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-start para-style-body"><span class="S1PPyQ">ฉบับที่ 6</span> <span class="S1PPyQ">พฤศจิกายน - ธันวาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ธันวาคม)</span></p> <p><strong>หมายเหตุ </strong>สำหรับบทความที่ลงตีพิมพ์ ตั้งแต่ ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) เป็นต้นไป หรือ Submission ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน จะต้องชำระค่าลงทะเบียน บทความละ 2,800 บาท(สองพันแปดร้อยบาทถ้วน) และภาษาอังกฤษ เรื่องละ 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน)</p> https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/1842 การบูรณาการการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย: ประสบการณ์การแข่งขันทักษะพื้นฐานด้านกีฬา (มวยสากลสมัครเล่น) งานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ 2025-05-27T14:05:14+07:00 ณฏฐพร สิงห์สร natataporn1223@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การบูรณาการการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้ การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย: ประสบการณ์การแข่งขันทักษะพื้นฐานด้านกีฬา (มวยสากลสมัครเล่น) งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ และ 2) นำเสนอแนวทางการการบูรณาการการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 15 คน เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก 5 คน การสนทนากลุ่ม 10 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือเป็นแบบสอบถามแบบมีเค้าโครงโดยมีเกณฑ์การเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนพลศึกษา มีประสบการณ์เข้าร่วมการแข่งขันศิลปหัตถกรรม และยินดีให้ข้อมูลตลอดการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ตรวจสอบคุณภาพด้วยเทคนิคสามเส้า ผลการศึกษาพบว่า 1. การบูรณาการการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย (1) การเน้นลงมือปฏิบัติจริง (2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ (3) ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (4) ผู้สอนวางบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก (5) ส่งเสริมเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกระบวนการ และ (6) กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า 2. แนวทางการการบูรณาการการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน พบว่า ควรมีการบูรณาการแนวคิด 3 อย่าง คือ (1) การเรียนรู้เชิงระบบ (2) แนวคิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ และ (3) แนวคิดแบบพหุวัฒนธรรมเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนได้เรียนรู้พลศึกษาอย่างสนุกและสร้างสรรค์</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2310 ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2025-05-16T13:38:19+07:00 ธนะชัย สามล nachai.samol@gmail.com จินดา ธำรงอาจริยกุล nachai.samol@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีต่อการสอนออนไลน์ 2) เปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีต่อการสอนออนไลน์ และ 3) ศึกษาสภาพปัญหาในการเรียนแบบออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีต่อ การสอนออนไลน์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 246 รูป/คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-Test และ One-way ANOVA ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัด การเรียนการสอนออนไลน์อยู่ในระดับมาก มีความพึงพอใจด้านการสอบและวัดผลประเมินผลมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ด้านหลักสูตรและเนื้อหา ด้านกระบวนการการเรียนการสอน ด้านผู้สอนและคุณภาพการสอน และด้านปัจจัยเกื้อหนุน 2) ปัจจัยพื้นฐานของนักศึกษาที่มีสมณเพศ/เพศ คณะ ช่องทางในการเรียน อุปกรณ์ ที่ใช้ในการเรียน และสถานที่ที่นักศึกษาใช้ในการเรียนแตกต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแตกต่างกัน ในขณะที่อายุและชั้นปีกับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ไม่แตกต่างกัน และ 3) นักศึกษามีปัญหาในการเรียนแบบออนไลน์ในระดับมาก ปัญหาที่นักศึกษาพบในการเรียนแบบออนไลน์มากที่สุด คือ บรรยากาศไม่ส่งเสริมให้เกิดการเรียน เช่น อากาศร้อน เสียงดัง ดังนั้นควรพัฒนารูปแบบบริหารและจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนอาจารย์ พร้อมวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2995 ภาวะผู้นําดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 2025-06-09T10:30:40+07:00 กมลณัชธน์ ชุ่มพระวงศ์ krupoy.kamonnut@gmail.com พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์ krupoy.kamonnut@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นําดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ 3) ภาวะผู้นําดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 1,539 คน จากสถานศึกษาจำนวน 133 แห่ง สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษาได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างรวม 308 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 มีความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นําดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย เท่ากับ 0.89 และค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนายเท่ากับ 0.757 แสดงให้เห็นว่า ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2845 การศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 3 2025-05-21T16:34:13+07:00 กิตติยา มีห่วง kittiya.mi@psru.ac.th เกสร กอกอง nu.fern.560@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยของครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 3 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ครูระดับปฐมวัยที่สอนในระดับชั้นอนุบาล 2–3 จำนวน 175 คน ซึ่ง สุ่มเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบง่ายจากกลุ่มครูที่จัดกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย ใน ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหาในการจัดกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย ของครูระดับปฐมวัย ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 กระบวนการดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การขออนุญาต เก็บข้อมูล 2) การประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัด 3) การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล และ 4) การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาในการจัดกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยของครูระดับปฐมวัย ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดถึงต่ำสุดตามลำดับมีดังนี้ ด้านความพร้อมในการจัดกิจกรรม ด้านการจัดกิจกรรม ด้านการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรม ด้านการวางแผนการจัดกิจกรรม และด้านงบประมาณในการจัดกิจกรรม</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2999 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกหลักสูตรในการศึกษาต่อระดับ ปริญญาโทของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พิษณุโลก อุตรดิตถ์ 2025-06-09T10:55:24+07:00 กรฤทธิ์ เทศนา nanothet55@gmail.com เกสร กอกอง nanothet55@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกหลักสูตรในการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูจำนวน 327 คน โดยการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกหลักสูตรในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ การขออนุญาตเก็บข้อมูล การประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัด การตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ และใช้การสังเคราะห์ประเด็นสำหรับข้อมูลจากข้อเสนอแนะปลายเปิด ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกหลักสูตรในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยด้านอิทธิพลภายใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประเด็นย่อยในการศึกษา ได้แก่ ความคาดหวังของผู้สมัคร และความสามารถ ส่วนบุคคลของผู้สมัคร รองลงมา คือ ปัจจัยด้านอิทธิพลภายนอก ภาพรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน มีประเด็นย่อยในการศึกษา ได้แก่ คุณสมบัติของอาจารย์ผู้สอน ระยะเวลาในการเรียน กระบวนการจัดการเรียนการสอน ความยากง่ายในการเข้าศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ความคาดหวังจากบุคคลรอบข้าง โครงการเสริมหลักสูตร และผู้ให้ข้อมูลหรือคำแนะนำ</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2977 การศึกษาสภาพและแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ระดับปฐมวัย ตามแนวคิดมอนเตสซอรี บริบทสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของศูนย์ระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 2025-06-18T14:01:08+07:00 สุดารัตน์ เกตุทอง sudaratarch@gmail.com เกสร กอกอง sudaratarch@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ระดับปฐมวัยตามแนวคิดมอนเตสซอรี บริบทสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของศูนย์ระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูปฐมวัยและผู้อำนวยการโรงเรียนที่รับผิดชอบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดมอนเตสซอรี ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 230 คน แบ่งเป็นครูปฐมวัย 115 คนและผู้อำนวยการ 115 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย คือแบบสอบถามสภาพการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดมอนเตสซอรี ที่จัดทำขึ้นเฉพาะสำหรับครูปฐมวัยและผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างละ 1 ฉบับ การดำเนินงานวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การขออนุญาตเก็บข้อมูล การประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัด การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล และการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดมอนเตสซอรีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับด้านจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ด้านการเตรียมความพร้อม และด้านความพร้อมของครู และ 2) แนวทางการพัฒนาควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้และทักษะเชิงลึกของครูในการจัดกิจกรรมที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับพัฒนาการรายบุคคล พร้อมจัดสภาพแวดล้อมและสื่อการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีคุณภาพและหลากหลาย สนับสนุนด้วยนโยบายชัดเจนและ การจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม โดยจัดประสบการณ์ให้ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ชีวิตประจำวัน ประสาทรับรู้ คณิตศาสตร์ และภาษา เพื่อส่งเสริมพัฒนาการที่สมดุลและเหมาะสมของเด็กปฐมวัยในบริบทดังกล่าว</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3028 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี 2025-06-12T09:37:41+07:00 วีรพงษ์ ห้วยหงษ์ทอง golffyphumthong@gmail.com พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์ golffyphumthong@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา 2) การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 299 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าดัชนีความตรงเท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ดังนี้ คือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจในการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ด้านการมอบอำนาจให้ผู้อื่นปฏิบัติงาน ด้านการท้าทายกระบวนการ ด้านการแสดงแบบอย่างในการปฏิบัติ และด้านการเสริมสร้างกำลังใจ 2) การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ คือด้านการจัดรูปแบบ ด้านการจัดกระบวนการ ด้านการจัดองค์ประกอบ และด้านการจัดบริบท และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่ามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2833 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: กรณีศึกษาไร่สุขพ่วง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี 2025-06-05T11:00:55+07:00 อิศริยา จันทร์พงษ์ Ncharoenlak@gmail.com สมิตา เพ็งนาเรนท์ Ncharoenlak@gmail.com วรินดา จันทร์แจ่ม Ncharoenlak@gmail.com นิภาวรรณ เจริญลักษณ์ Ncharoenlak@gmail.com นริศรา กรุดนาค narisara5@hotmail.co.th ชัชวาล แอร่มหล้า Ncharoenlak@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์และความต้องการในการพัฒนาท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษาไร่สุขพ่วง และ 2) พัฒนาแนวทางการพัฒนา การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การศึกษาเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย 4 กลุ่มคือ เจ้าของไร่สุขพ่วง 1 คน ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจไร่สุขพ่วง 15 คน ตัวแทนชุมชน จำนวน 4 คน และนักท่องเที่ยวจำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ตรวจสอบด้วยเทคนิคสามเส้า และนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์และความต้องการในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษาไร่สุขพ่วง โดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด และ 2) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 7 ด้าน คือ 1) การพึ่งพาตนเองและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นแบบพอเพียง 2) กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ 3) การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมทุกมิติ 4) แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐานการขับเคลื่อน 5) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพ 6) การพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วน และ 7) การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์บนฐานอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2647 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานำร่อง จังหวัดตราด 2025-05-07T13:35:16+07:00 พลพิพัฒน์ สิงหบวรชัย dome25rbru@gmail.com เริงวิชญ์ นิลโคตร dome25rbru@gmail.com ธีรังกูร วรบํารุงกุล dome25rbru@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษานำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตราด 2) ระดับการพัฒนาโรงเรียนในสถานศึกษานำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตราด และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการพัฒนาโรงเรียนในสถานศึกษานำร่อง พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตราด เป็นการวิจัยเชิงผสานวิธี ประกอบด้วย การศึกษาเชิงปริมาณ ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 62 คน เครื่องมือ คือแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง โดยการสัมภาษณ์สนทนากลุ่ม จำนวน 10 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และนำเสนอด้วยรูปแบบการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษานำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตราด อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับการพัฒนาโรงเรียนในสถานศึกษานำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตราด อยู่ในระดับมาก และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานำร่องจังหวัดตราด ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาภาวะผู้นำที่มองอนาคตอย่างมีวิสัยทัศน์ (2) การพัฒนาทักษะด้านการกล้าคิด กล้าพูด และกล้าตัดสินใจ (3) การเสริมทักษะในการสื่อสาร (4) การพัฒนาทักษะการสร้างแรงจูงใจ (5) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงาน และ (6) การพัฒนาบทบาทของผู้นำให้เป็นผู้เอื้อและผู้เชื่อมโยง</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2129 การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา 2025-04-25T22:09:42+07:00 ชัญญา อธิศรีปัญโญ Yupaporn110312@gmail.com บุณยานุช เฉวียงหงส์ chanyaartisripanyo@gmail.com ภูวดล จุลสุคนธ์ Yupaporn110312@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา และ 2) เปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการบริหารงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 88 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่มี 2 ตอน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 ค่า ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.925 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา ด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการประนีประนอม รองลงมาคือ ด้านการร่วมมือ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการยอมให้ และด้านการเอาชนะ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านที่มีการปฏิบัติต่ำสุด คือ ด้านการหลีกเลี่ยง โดยมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง และ 2) ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการบริหารงานที่แตกต่างกัน มีการบริหารความขัดแย้ง ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2154 การดำเนินงานนิเทศภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี 2025-05-01T10:34:57+07:00 นภัสกร บ่อทรัพย์ bxthraphynphaskr@gmail.com เฉลิมชัย หาญกล้า Nooaonpilaiwan@gmail.com สรรชัย ชูชีพ Nooaonpilaiwan@gmail.com <p>บทความมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการดำเนินงานนิเทศภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานนิเทศภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรีปี การศึกษา 2567 &nbsp;จำแนกตามสถานภาพในการปฏิบัติงาน ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ประชากรกลุ่มตัวอย่างคือ คณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี จำนวน 186 คน ใช้สูตรตารางการกำหนดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ยอมให้มีความคลาดเคลื่อน 0.05 ในการคํานวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ได้มาโดยสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.966 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบเอฟ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการดำเนินงานนิเทศภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2. ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานนิเทศภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี เมื่อจำแนกตามสถานภาพในการปฏิบัติงาน ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/179-193 การบูรณาการเรื่องจำนวนเต็มร่วมกับการจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-07-26T15:56:24+07:00 กัญญารัตน์ เหล่ากวางโจน kanyarat.lao@spumail.net สิรินธร สินจินดาวงศ์ kanyarat.lao@spumail.net <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของบอร์ดเกมเรื่องจำนวนเต็มร่วมกับการจัด<br />การเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาเรื่องจำนวนเต็มของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการบอร์ดเกมร่วมกับการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK กับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 3) ศึกษา<br />เจตคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยบูรณาการบอร์ดเกมเรื่องจำนวนเต็มร่วมกับการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการร่วมกับบอร์ดเกม “Wizard Number War” ตามกรอบแนวคิด TPACK จำนวน 7 แผน รวม 10 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่องจำนวนเต็ม จำนวน 15 ข้อ และ3) แบบสัมภาษณ์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ใช้สถิติเชิงพรรณนา การหาประสิทธิภาพ "E" _"1" "/" "E" _"2" ,การทดสอบOne-Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า บอร์ดเกม “Wizard Number War” เรื่องจำนวนเต็มร่วมกับการจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK มีประสิทธิภาพ "E" _"1" "/" "E" _"2" เท่ากับ 76.00/79.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 75/75 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการบอร์ดเกมร่วมกับการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการแก้ปัญหาร้อยละ 79.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีเจตคติที่ดีขึ้นต่อการเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่องจำนวนเต็มโดยภาพรวมมีเจตคติเชิงบวก</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/4048 การพัฒนารูปแบบการจัดการน้ำหนักในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน เขตสุขภาพที่ 8 2025-09-04T11:30:15+07:00 สุกัญญา คณะวาปี nursenong37@gmail.com อภิชิต ศรีอวน nursenong37@gmail.com สุจริตพรรณ แท่นประยุทธ nursenong37@gmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสถานการณ์การจัดการน้ำหนักในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน เขตสุขภาพที่ 8 2) พัฒนารูปแบบการจัดการน้ำหนัก 3) ประเมินผลการใช้รูปแบบ โดยพิจารณาความรู้ พฤติกรรมในการป้องกันโรคอ้วน และน้ำหนักก่อน–หลังการทดลอง และ 4) ประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง วิธีวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) <br />4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้ 6 สัปดาห์ และ 4) ประเมินผล <br />กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4–6 ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน 25 คน และกลุ่มแรงสนับสนุนทางสังคม (ครู บุคลากรสาธารณสุข ผู้ปกครอง) 35 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมในการป้องกันโรคอ้วน การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย paired t-test และWilcoxon signed-rank test ผลการวิจัยพบว่า 1) เด็กวัยเรียนมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อภาวะอ้วนเพิ่มขึ้น ครูและผู้ปกครองตระหนักถึงปัญหาและความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยการกำหนดบทบาทของครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรสาธารณสุข โดยเน้นการสนับสนุนด้านข้อมูล กำลังใจ และการมีส่วนร่วม 3) หลังการใช้รูปแบบฯเด็กมีคะแนนความรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคอ้วนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) น้ำหนักเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) และ 4) ผู้เกี่ยวข้องมีความพึงพอใจในระดับสูง<br />สรุปได้ว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นช่วยเสริมสร้างความรู้ พฤติกรรมในการป้องกันโรคอ้วน และควบคุมน้ำหนักเด็กวัยเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/4210 การพัฒนารูปแบบกลไกการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดการเข้าถึงบุหรี่ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดสระบุรี ตาม พรบ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 2025-09-09T09:42:05+07:00 สุพจน์ จิตสงวนสุข supot.jit@gmail.com มานพ ทองตัน supot.jit@gmail.com บุษบา แดงสะอาด supot.jit@gmail.com ชฎากาญจน์ ชาลีรัตน์ supot.jit@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและประเมินผลกลไกการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสระบุรี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนและช่องว่างในการบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) การศึกษาสถานการณ์และปัจจัยการสูบบุหรี่ในนักเรียน 2) การศึกษาพฤติกรรมการจำหน่ายของผู้ประกอบการ 3) การพัฒนารูปแบบกลไกเชิงปฏิบัติการ และ 4) การประเมินผลรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ผลการสำรวจในระยะที่ 1 จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียน 414 คน พบว่ามีอัตราการสูบบุหรี่ในปัจจุบันร้อยละ 12.3 โดยบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่นิยมสูงสุด (ร้อยละ 45.1) ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคืออิทธิพลจากเพื่อนสนิท ซึ่งเพิ่มโอกาสการสูบบุหรี่สูงถึง 8.5 เท่า (OR=8.5) ผลการสำรวจระยะที่ 2 จากผู้ประกอบการร้านค้า 356 ร้าน พบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในระดับสูง โดยร้อยละ 46.1 และยอมรับว่าจำหน่ายบุหรี่ให้เยาวชน ร้อยละ 71.9 ไม่เคยถูกตรวจสอบในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา การวิจัยในระยะที่ 3 การพัฒนารูปแบบกลไกความร่วมมือแบบไตรภาคี ขับเคลื่อน 3 ยุทธศาสตร์ (Tripartite Collaborative Mechanism and 3-Strategy Driving Model: TCM3SD Model) เน้นการทำงานร่วมกันของภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ในการเฝ้าระวัง การสร้างภูมิคุ้มกัน และการสร้างแนวร่วมในชุมชน ผลการประเมินในระยะที่ 4 ในพื้นที่ทดลอง พบว่ารูปแบบดังกล่าวมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง โดยสามารถลดสัดส่วนร้านค้าที่จำหน่ายบุหรี่ให้เยาวชนลงจากร้อยละ 45.8 เหลือเพียงร้อยละ 8.4 (p&lt;.001) และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ประกอบการได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปิดช่องว่างการบังคับใช้กฎหมายและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปกป้องเยาวชนจากการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบในระดับชุมชน</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3172 Strategic Analysis of Small Hotel Management in the Digital Economy Age: A SWOT-Based Evaluation in Muang District, Chiang Mai Province 2025-07-08T09:28:08+07:00 Saranratch Samandakarawattana Sara.saranratch@gmail.com Suthira Sitthikun suthira.sit@gmail.com Winitra Leelapattana w.leelapattana@gmail.com Weerapon Thongma weerapon.mju@gmail.com <p>The purpose of this article was to examine the strategic management of small hotels in Muang District, Chiang Mai Province in the Digital Economy Age. The sample was two small hotels: Micasa Thaphae Hotel and Thapae Place, both located in high-tourism areas of Muang District. They were selected by purposive sampling based on their recent reopening and new ownership in 2024. The instrument for collecting data was a focus group discussion guideline. Data was collected from eight key informants in each hotel, including the General Manager/Owner, Front Office Manager, Food and Beverage Manager, Housekeeping Manager, Receptionist, Security Guard, Sales and Marketing Staff, and Front Desk Agency Representative. Data were analyzed using descriptive approach and content analysis. <br />The research results were found as follows: 1) Internal strengths included strategic location, personalized service, and flexible management, while internal weaknesses were limited digital infrastructure and structural rigidity. 2) External opportunities consisted of digital marketing channels and growing tourism demand, whereas threats included increasing competition and changing customer expectations. 3) Strategic directions from the TOWS matrix included: Aggressive strategies: enhancing digital marketing and niche targeting, Development strategies: partnerships with external stakeholders, Defensive strategies: improving service stability and risk management, and Survival strategies: accelerating digital transformation and organizational adaptability. The findings contribute to practical implications for small hotel operators and strategic planning in Muang District, Chiang Mai Province.</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3535 Chang Shana's Artistic Characteristics for Application in The Contemporary Era 2025-07-21T16:59:14+07:00 Yinglian Pan sakon.p@siu.ac.th Sakon Phu-Ngamdee sakon.p@siu.ac.th <p>This study aims to explore the artistic characteristics of Chang Shana and their application in contemporary design and education. Specifically, it investigates: (1) how Chang Shana’s early experiences shaped her artistic ideals and cultural identity; (2) the innovative features of her floral sketches as expressions of traditional aesthetics; and (3) her educational philosophy’s role in preserving and transforming Chinese traditional art. Employing qualitative methods—including literature analysis, comparative case studies, and field research—this study systematically examines Chang’s lifelong engagement with Dunhuang art and her integration of traditional elements into modern design practices. The findings reveal that Chang Shana skillfully fuses Dunhuang motifs and natural inspirations to construct a unique aesthetic language, which she applies across artistic creation, decorative design, and art education. Her work exemplifies how traditional culture can be revitalized and innovatively adapted in the contemporary context. Based on the results, the study recommends incorporating her model of "inheritance and innovation" into modern art curricula, interdisciplinary design practices, and cross-cultural educational exchanges to promote cultural confidence and sustainable aesthetic development.</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3728 Cultural Communication Strategies of Film Space: An Empirical Study Centered on the Astor House Hotel in Shanghai 2025-08-01T16:02:18+07:00 Minzhi Xie s64584946008@ssru.ac.th Somsak Klaysung s64584946008@ssru.ac.th <p>This study takes the Astor House Hotel in Shanghai as a case to explore the functions and strategies of film space in the dissemination of urban culture. Through in-depth interviews and focus group discussions, the research constructs a theoretical model of “Film Space – Cultural Identity – Communication Pathways.” The findings reveal that film space serves as a vital medium for urban cultural transmission. It not only evokes audience memory and emotional resonance through visual representation but also expands its cultural influence via new media platforms such as short videos. In the in-depth interviews, respondents emphasized how the spatial imagery of the Astor House Hotel in various films enhanced the transmission of urban cultural memory. In contrast, the focus group participants paid greater attention to the interplay between cinematic narratives and urban space, as well as the guiding effect of short video content on audience perception. Based on the empirical findings, the study proposes a three-tiered communication strategy—historical symbol embedding, media narrative synergy, and user engagement activation. Furthermore, this research contributes to the expansion of existing communication theories by highlighting the interaction between film space and urban cultural construction. Despite limitations such as a small sample size and strong case dependency, the study offers fresh perspectives and practical implications for urban cultural communication and related theoretical development.</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3165 แนวทางการเจริญมรณานุสสติเพื่อพัฒนาจิตใจ 2025-06-19T14:09:53+07:00 พระภาวนาพิศาล เมธี nirun.siri@mcu.ac.th พระครูปลัดสัมพิพัฒน ธรรมาจารย์ nnirun98@gmail.com พระครูสังฆรักษ์ทรงพล ธมฺมพโล nirun.siri@mcu.ac.th <p>มรณนุสสติในพระพุทธศาสนา หมายถึง ความตาย ก็คือ ความดับหรือ อาการดับของขันธ์ 5 หรือกายกับจิต การตายมี 2 ประเภท คือ กาลมรณะ การตายเมื่อถึงเวลาถึงที่ตาย และอกาลมรณะ มรณสติ คือ การเอาสติหมั่นระลึกถึงความตายอันจะเกิดมาถึงตนและพิจารณาสาเหตุของความตายเพื่อเป็นอุบายที่จะทำให้จิตใจเกิดความสงบเป็นสมาธิ จิตใจพิจารณาเห็นความจริงจนเกิดสลดใจเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายอันเป็นเหตุทำให้จิตใจคลายออกจากความไม่หลงติดในร่างกายคลายออกจากกิเลสและปลดทุกข์ทางจิตใจได้ การพิจารณามรณานุสสติเป็นวิธีพิจารณาให้เห็นความจริงในชีวิตทั้ง 5 ประการนี้ คือ ความแก่ ความเจ็บ ความชรา ความตายความพลัดพราก และมีกรรมเป็นเครื่องกำหนดชีวิตของคนและสัตว์ ย่อมมีกับทุกชีวิต การปฏิบัติมรณานุสสติเป็นประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจ คือ ทำให้ไม่หลงตาย ส่วนการประยุกต์มรณานุสสติมาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ สร้างคติเตือนจิตใจไม่ให้ประมาท สามารถสร้างอุบายระงับกิเลส และใช้เป็นแนวทางที่ยกระดับจิตใจเข้าสู่การปฏิบัติวิปัสสนา การเผชิญความตายตามหลักมรณานุสสตินั้นถือว่าได้เตรียมตัวก่อนตาย คือ เอาสติน้อมระลึกถึงความตาย อันมีแก่ตนและคนอื่น ให้ตั้งมั่นอยู่กับคุณความดี ให้ดำรงชีวิตด้วยสติปัญญา ซึ่งเป็นจิตใจที่มีพลัง ดับความเร่าร้อนหวาดกลัวนานาประการได้ จิตใจที่ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส เป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธ์ิหลุดพ้น มีสติรู้เท่าทัน ไม่หวาดหวั่นต่อความตาย ทำให้มีความสุขในชีวิตประจำวันได้</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/3775 บทบาทหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย 2025-08-21T14:28:40+07:00 เฉลิมชัย นรศรี narasri57idy@gmail.com เนรมิตร เสนาะเสียง narasri57idy@gmail.com ณวัฒน์ คัฒมารศรี narasri57idy@gmail.com อภิชาติ สุจิมงคล narasri57idy@gmail.com สุขพัฒน์ อนนท์จารย์ narasri57idy@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่การก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการศึกษาคำวินิจฉัยที่สำคัญและการแสดงบทบาทเชิงรุกในประเด็นทางการเมือง การศึกษาพบว่าศาลรัฐธรรมนูญมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ในด้านบวก ศาลได้ทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน สร้างความเข้าใจในหลักนิติธรรม ควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและการกระทำขององค์กรรัฐต่าง ๆ และเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจรัฐ แต่ในด้านลบ การใช้อำนาจเชิงรุกในหลายประเด็นได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการขยายอำนาจเหนือขอบเขตที่กำหนด ศาลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ "ตุลาการภิวัฒน์" ที่นำไปสู่ภาวะ "ตุลาการอธิปไตย" ซึ่งอำนาจตุลาการขยายตัวจนอยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร</p> <p>ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้าง บทบาท และที่มาของศาลรัฐธรรมนูญให้มีความเชื่อมโยงกับประชาชนและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น การปฏิรูปควรครอบคลุมการปรับปรุงกระบวนการสรรหาตุลาการให้มีความเชื่อมโยงกับประชาชน การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนและจำกัดเฉพาะประเด็นทางกฎหมาย การสร้างกลไกการควบคุมและตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้เป็นธรรม เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถกลับไปสู่บทบาทแรกเริ่มในการเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญและสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือผู้ชี้ขาดความขัดแย้งทางการเมือง</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/watmahasawat_jsc/article/view/2299 Personality and Social Associations in the Views of International Exchange Students 2025-05-23T14:42:26+07:00 Toe Oo Wai Yan raajshivar.s@cit.kmutnb.ac.th Paing Phyo Thu raajshivar.s@cit.kmutnb.ac.th Raajshivar Saetan raajshivar.s@cit.kmutnb.ac.th <p>This article examines the dynamic interplay between personality and social associations, asserting that personality is neither purely innate nor entirely socially constructed, but emerges from the ongoing interaction between the individual and their sociocultural environment. Drawing on theories from psychology, sociology, and anthropology, this study explores how personality is shaped by cultural values, social groups, and adaptive responses to new environments. Using comparative examples from Thailand, Myanmar, and Western cultures—supplemented by the perspectives of international exchange students—the paper highlights how individuals adjust their behavior and identity in response to different social expectations. The findings emphasize the importance of self-awareness and adaptability in thriving within multicultural contexts. Ultimately, the paper contributes a nuanced understanding of how personality development is influenced by cross-cultural experiences and sociocultural integration.</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปราชญ์ประชาคม