วารสารสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src
<p><strong>ISSN:</strong> 2822-1117 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก: </strong>2 ฉบับต่อปี ได้แก่ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์: </strong></p> <p>วารสารสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงทางด้านสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รวมถึงสหวิทยาการด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษาและนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong><strong>: </strong>บทความวิจัย, บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ: </strong></p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดย<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวน 3 ท่าน</strong> ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ในลักษณะ<strong>ปกปิดความลับของทั้งสองฝ่าย (Double blind peer-reviewe)</strong> ที่ผู้พิจารณาบทความจะไม่ทราบชื่อ หรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความก็ไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นกัน</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่: </strong></p> <p>วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความละ<strong> 3,500 บาท</strong> โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะดำเนินการส่งบทความถึงผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมิน ในกรณีที่บรรณาธิการปฏิเสธการตีพิมพ์หรือกรณีที่ผู้เขียนขอยกเลิกบทความเองจะคืนค่าตีพิมพ์ แต่หากมีการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความแล้ววารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียมให้ ผู้เขียนสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัญชี<strong>ธนาคารออมสิน</strong> เลขบัญชี<strong> 020357858636</strong> ชื่อบัญชี <strong>"มูลนิธิบวรเพื่อการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม"</strong> สาขา ศาลายา เมื่อชำระแล้วให้ส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่ E-mail: <strong>jsrc2563@gmail.com</strong></p>
มูลนิธิบวรเพื่อการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม [Baworn's Foundation For Religion and Culture Studies]
th-TH
วารสารสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
2822-1117
-
การบริหารการนิเทศการจัดการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรมของโรงเรียนมัธยม เทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1871
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนมัธยมเทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการนิเทศการจัดการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรมของโรงเรียนมัธยมเทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราชและ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารการนิเทศการจัดการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรมของโรงเรียนมัธยมเทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างแนวทาง 5 คน และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า 1) สภาพการนิเทศการจัดการเรียนรู้ พบว่า การนิเทศการจัดการเรียนรู้ เป็นการนิเทศ กำกับ ติดตามโดยการสังเกตชั้นเรียน ซึ่งการเสนอความคิดเห็น หารือ สะท้อนถึงปัญหา จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาของการนิเทศได้มีการดำเนินการที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การนิเทศการจัดการเรียนรู้ไม่ได้พัฒนาตามที่สถานศึกษากำหนด ซึ่งการนิเทศการจัดการเรียนรู้ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้บริหาร ผู้นิเทศ ครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุง แนะนำ ส่งเสริม พัฒนา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นระบบตามขั้นตอน ซึ่งประกอบ คือ 1. การศึกษาสภาพก่อนดำเนินการ 2. วางแผนการนิเทศ 3. กระบวนการจัดสายงาน 4. การปฏิบัติงานนิเทศ 5. สรุป ประเมินผลและสนับสนุนการดำเนินงาน2) แนวทางการบริหารการนิเทศการจัดการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรมของโรงเรียนมัธยมเทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชประกอบด้วย 1. ธัมมัญญุตา (รู้หลักการวิธีการ) 2. อัตถัญญุตา (รู้เป้าหมาย) 3. อัตตัญญุตา (รู้ตนเองมีความรู้) 4. มัตตัญญุตา (รู้พอดีความเหมาะสม) 5. กาลัญญุตา (รู้เวลา) 6. ปริสัญญุตา (รู้บริบทชุมชนโรงเรียน) 7. ปุคคลัญญุตา (รู้บุคคลเข้าใจความแตกต่าง) 3) การนำเสนอแนวทางการบริหารการนิเทศการจัดการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรมของโรงเรียนมัธยมเทศบาลวัดท่าแพ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความเป็นไปได้เหมาะสมเป็นประโยชน์</p>
มนชนก ไชยศร
มะลิวัลย์ โยธารักษ์
ปรีชา สามัคคี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
1
13
-
การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวรรณคดีไทย เรื่อง เงาะป่า ด้วยเทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดชลบุรี
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/2266
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวรรณคดีไทย เรื่อง เงาะป่า ด้วยเทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 (2) หาดัชนีประสิทธิผลทางการเรียนของชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H (3) เปรียบเทียบการเรียนการสอนด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ (4) เปรียบเทียบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ การวิจัยนี้เป็นแบบกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดชลบุรี จำนวน 847 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนมารีวิทย์ จำนวน 265 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้วิจัยประกอบด้วย (1) ชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวรรณคดีไทย เรื่อง เงาะป่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.80) (2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 5W1H มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.91) (3) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบปกติ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (X= 4.49) (4) แบบทดสอบวัดทักษะ มีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อใช้ได้ (IOC = 1.00) และมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับดี (KR-20 = 0.81) และ (5) แบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อใช้ได้ (IOC = 0.67-1.00) และมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับดี (α = 0.79) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความก้าวหน้า และการทดสอบค่าทีแบบอิสระต่อกัน</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญวรรณคดีไทย เรื่อง เงาะป่า ด้วยเทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.17/84.67 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด (2) ดัชนีประสิทธิผลทางการเรียนของชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H มีค่า (E.I.) เท่ากับ 0.5978 (3) ผลการเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยเทคนิค 5W1H มากกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ผกามาศ ด้วงช้าง
นันทวัฒน์ ภัทรกรนันท์
วีระ วงศ์สรรค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
14
26
-
การพัฒนาสมรรถนะครูตามหลักอิทธิบาท 4 ของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาชะอวด 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1925
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพสมรรถนะครูของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาชะอวด 3 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูตามหลักอิทธิบาท 4 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูตามหลักอิทธิบาท 4 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 15 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์และแบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพสมรรถนะครูของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาชะอวด 3 ครูมีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและสาระสนเทศในปฏิบัติงานเป็นอย่างดี ครูมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และครูนำความรู้ที่หลากหลายมาใช้ในการบูรณาการเพื่อจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2) ครูโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาชะอวด 3 มีการนำหลักอิทธิบาท 4 มาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะครู 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านการจัดการเรียนรู้ 2. สมรรถนะการพัฒนาตนเอง 3. ด้านคุณธรรมและจริยธรรม 4. ด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีและสาระสนเทศ และ 5. ด้านการบูรณาการความรู้ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูตามหลักอิทธิบาท 4 ของครูโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาชะอวด 3 มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการพัฒนาสมรรถนะครูในสถานศึกษา</p>
อลิษา บรรจงสุทธิ์
กษมา ศรีสุวรรณ
พระครูสุเมธปริยัติคุณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
27
40
-
การมีส่วนร่วมของประชาชนและรูปแบบการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1879
<p> การวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของประชาชนและรูปแบบการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนและรูปแบบการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ และเพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนและรูปแบบการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ โดยวิธีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่อยู่ในอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ จำนวนทั้งหมด 5478 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง 373 คนใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ โดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 46 ปีขึ้นไปมีระดับประถมศึกษา มีอาชีพธุรกิจส่วนตัว และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 10,001-15,000 บาท การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับ มาก และรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก และการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับ มาก ซึ่งสรุปผลการวิเคราะห์ได้ว่า ตัวแปรทั้ง 2 ตัว ได้แก่ การมีส่วนร่วม และรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการพัฒนาท้องถิ่นของสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
สุวิกรานต์ เขม็ด
ธเนศพล อินทร์จันทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
41
51
-
รูปแบบภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/2011
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) สร้างรูปแบบภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) ประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 342 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครู รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 684 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมินและรับรองรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น ค่าดัชนี KMO และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ (1) ความคล่องแคล่ว ในด้านบริบท (2) ความคล่องแคล่วในด้านผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (3) ความคล่องแคล่วในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์และ (4) ความคล่องแคล่วในภาวะผู้นำของตนเอง 2) รูปแบบภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ (1) ความคล่องแคล่วในด้านบริบท (2) ความคล่องแคล่วในด้านผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (3) ความคล่องแคล่ว ในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และ (4) ความคล่องแคล่วในภาวะผู้นำของตนเอง และ 3) ผลการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำอาไจย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้ อยู่ในระดับ มากที่สุด</p>
ธนิษฐ์นันท์ ศรีภุมมา
สุธาสินี แสงมุกดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
52
64
-
แนวทางการส่งเสริมการจัดบริการการศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1914
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดบริการการศึกษาของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 2) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการจัดบริการการศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 3) นำเสนอและประเมินแนวทางการส่งเสริมการจัดบริการการศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 15 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 7 คน การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 รูป/คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดบริการการศึกษาของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 ประกอบด้วย การบริการการแนะแนว การบริการสุขภาพ การบริการความปลอดภัยในโรงเรียนการบริการวิชาการและการบริการกิจกรรมนักเรียน พบว่า สถานศึกษามีการจัดเก็บข้อมูลของนักเรียนไม่เป็นระบบไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน ขาดการประชาสัมพันธ์และประสานงานกับภาคีเครือข่ายมีบุคลากรไม่เพียงพอกับกิจกรรมในการให้บริการ สถานศึกษาต้องการวางแผนการจัดบริการการศึกษาให้เป็นระบบและต่อเนื่อง 2) แนวทางการส่งเสริมการจัดบริการการศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 พบว่า การดำเนินการประกอบด้วยการวางแผน การสร้างองค์ความรู้การจัดกิจกรรมบริการ และการติดตามและประเมินผล 3) การนำเสนอและประเมินแนวทางการส่งเสริมการจัดบริการการศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 3 พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่มมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ ต่อการนำไปใช้ในการจัดบริการการศึกษาในสถานศึกษา</p>
ชญณัฐ อินยัญญะ
พระครูเขมธรรมโฆษิต
บุญเลิศ วีระพรกานต์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
65
76
-
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิผลงานวิชาการของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1940
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน 2) ระดับประสิทธิผล งานวิชาการ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิผลงานวิชาการของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 329 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีอันดับที่หนึ่ง คือ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน รองลงมา คือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และอันดับสุดท้าย คือ ลักษณะของงานตามลำดับ ประสิทธิผลงานวิชาการของบุคลากรทางการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีอันดับที่หนึ่ง คือ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ รองลงมา คือ การวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน และอันดับสุดท้าย คือ การพัฒนาและการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิผลงานวิชาการของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
วิภาวรรณ วิมุติ
ณัฐพล เนื่องชมภู
ในตะวัน กำหอม
วาสนา เลิกเปลี่ยน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
77
87
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1931
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาระดับต่อความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร และ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อระดับความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยวิธีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 53 คนจะวิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมติฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 30 คน มีอายุระหว่าง 31-35 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรีอัตราเงินเดือน 15,001-20,000 บาท ระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน 1-5 ปี วามสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร โดยรวมทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (X = 4.20, SD = 0.28) เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า ความรักในงาน (Love of the work) รองลงมา คือ การเป็นที่ยอมรับ (Recognition) การติดต่อสื่อสาร (Connection) และความสำเร็จในงาน (Work achievement) และผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล เพศ อายุ ระดับการศึกษา อัตราเงินเดือน ระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน แตกต่างกัน ความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร โดยรวมทั้ง 4 ด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนับสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
รชต ประสานทอง
ธเนศพล อินทร์จันทร์
กรรณสิทธิ์ สะและน้อย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
88
98
-
วัฒนธรรม: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับการบูรณาการการสอนวิชาประวัติศาสตร์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1941
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ความโดดเด่น และภูมิปัญญาของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ที่โรงเรียนในกลุ่มกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มตัวอย่าง 1) กลุ่มบุคคลที่มีข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สถานที่และการเติบโตของชุมชน จำนวน 10 คน 2) กลุ่มผู้ปฏิบัติ ที่เป็นครูและนักเรียน จำนวน 30 คน 3) กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีภูมิหลังในการอาศัยอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 10 คน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูลด้วยแบบสำรวจ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต จัดประชุมกลุ่มย่อย และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า1.ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เอกลักษณ์และภูมิปัญญาของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีความสำคัญในหลายมิติทางด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญา2.มีการบูรณาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโรงเรียนกลุ่มกุยบุรีสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2วัฒนธรรมของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีการบูรณาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ที่นักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจและหวงแหนในประเพณีท้องถิ่นและทั้งหมดสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินได้</p>
ศิริชัย บุญเพ็ง
ถนัด ยันต์ทอง
ในตะวัน กำหอม
กฤษดา นิยมทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
99
109
-
การพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านไทรบ่วงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1872
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู 2) พัฒนาแนวทางการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู 3) ประเมินผลการพัฒนาศักยภาพ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านไทรบ่วง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยการสัมภาษณ์จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 14 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการติดตามผลการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และแบบประเมินผล การพัฒนาศักยภาพ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สถิติที่ใช้ในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพและแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู พบว่า ครูยังคงใช้การจัดการเรียนรู้แบบบรรยายเป็นส่วนใหญ่ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ไม่ทันสมัย และการวัดและประเมินผลยังคงเน้นที่ทำใบงานหรือการทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้เป็นหลัก 2) แนวทางการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศการจัดการเรียนรู้ 3) ผลการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู พบว่า 1. ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 2. ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับดีเยี่ยม 3. ผลการประชุมสะท้อนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ระบุว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบที่ครบถ้วน 4. ผลการประเมินการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู อยู่ในระดับดีเยี่ยม 5. ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู อยู่ในระดับมากที่สุด และ 6. ผลการประชุมสะท้อนผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู ระบุว่านักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดีครูสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
เพลินพิสุทธิ์ ศรีจันทร์
ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่
สุเวศ กลับศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
110
122
-
การบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบึงกาฬ
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1938
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของบุคลากรทางการศึกษา 2) เปรียบเทียบการบริหารงานในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้ง คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น มีค่า IOC เท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า (F-Test)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการบริหารงานในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของบุคลากรทางการศึกษา ผลการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าการส่งต่อนักเรียน อยู่ในระดับสูงสุด รองลงมา การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน และต่ำสุด คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 2) เปรียบเทียบการบริหารงานในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านพบว่าไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
อติวิชญ์ เคหฐาน
โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ
ในตะวัน กำหอม
วาสนา เลิกเปลี่ยน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
123
135
-
การบริหารจัดการเวลาในการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1939
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารจัดการเวลาในการให้บริการประชาชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ดำเนินการวิธีวิจัยเชิงปริมาณ จำแนกตามสถานภาพทั่วไป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 371 คน และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้ความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟ่า สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)ในกรณีที่มีความแตกต่างก็ทดสอบความแตกต่างโดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า การบริหารจัดการเวลา เป็นการใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับหลักธรรม ซึ่งเน้นที่การลดความทุกข์และการเจริญเติบโตทางจิตใจ การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในภารกิจต่างๆ ก็ช่วยให้เกิดความสงบสุข และพัฒนาจิตใจให้มั่นคงในการให้บริการประชาชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการร่วมคิดและตัดสินใจ อยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการติดตามและประเมินผล อยู่ในระดับปานกลาง การเปรียบเทียบการบริหารจัดการเวลาในการให้บริการประชาชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำแนกตามเพศ โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุ โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนรายด้าน คือ ด้านการดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนรายด้าน คือ ด้านการติดตามและประเมินผลมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ดิลก ญาณปัญญา
รัตน์ชนก พราหมณ์ศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
136
144
-
แนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/2873
<p> วัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ (2) เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ และ (3) เพื่อเสนอแนะข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วยวิธีการสำรวจ จากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยในประเทศนอร์เวย์ จำนวน 100 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และเชิงพรรณนา เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามผ่านระบบ Google Form และการสัมภาษณ์ ผู้นำพุทธศาสนิกชนชาวไทยในประเทศนอร์เวย์ จำนวน 5 รูป</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ ด้วยผลการวัดระดับความคิดเห็นต่อ แนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก (X= 4.11, S.D. = 0.135) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลทั้งปวง อยู่ในระดับมาก (X = 4.17, S.D. = 0.245) และด้านที่มีความคิดเห็นน้อยที่สุดคือ ด้านอนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษา อยู่ในระดับมาก ( X= 4.05, S.D. = 0.278) 2) เปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ พบว่า ทุกด้าน โดยภาพรวม ยังคงอยู่ในระดับมาก (X= 4.11, S.D. = 0.135) พร้อมทั้งการบรรยายเชิงพรรณนา พบว่า ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ปฏิบัติทั้งหมด มีผลการดำเนินชีวิตที่สงบสุขเพิ่มขึ้น 3) แนวทางการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักสัมมัปธาน 4 สำหรับพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศนอร์เวย์ พบว่า ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลทั้งปวง มีข้อมูลเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ (X= 4.17, S.D. = 0.245) ด้านสังวรปธาน คือ การเพียรระวัง มีข้อมูลเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ (X= 4.11, S.D. = 0.135) ด้านภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ มีข้อมูลเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ (X= 4.08, S.D. = 0.246) และด้านอนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษา มีข้อมูลเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ (X= 4.05, S.D. = 0.278)</p>
นุชจรีภรณ์ จาหรี
นิเวศน์ วงศ์สุวรรณ
พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
145
155
-
การศึกษาเชิงวิเคราะห์ปรัชญาภาวะผู้นำทางปัญญา
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1821
<p> บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิเคราะห์เอกสาร ตั้งคำถามการวิจัยไว้ว่า “ปรัชญาภาวะผู้นำทางปัญญาควรเป็นอย่างไร” โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดภาวะผู้นำ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับปัญญา และ 3) เพื่อวิเคราะห์ปรัชญาภาวะผู้นำทางปัญญา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำ หมายถึง การแสดงความสามารถด้านความคิดริเริ่มที่จะ โน้มน้าวช่วยในการกระตุ้นองค์กรและใช้อิทธิพลต่อบุคคลอื่น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายขององค์กร เกิดการเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีไปสู่จุดประสงค์ซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ช่วยกันทำให้องค์กร ดำเนินคงอยู่ต่อไปได้การเป็นผู้นำจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการจูงใจคนให้กระทำตามมติร่วมระหว่างผู้นำและผู้ตาม 2) มนุษย์ต่างจากสัตว์ พืช และก้อนหินตรงที่มีปัญญาและจิตสำนึก ส่วน สุขภาวะทางปัญญา หมายถึง การเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง เกิดการเชื่อมต่อกับผู้อื่นในทางที่สร้างสรรค์ (กุศล) ก้าวพ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือความเห็นแก่ตัวอย่างต่อเนื่อง เข้าถึงความสุข ความสงบ ความเป็นอิสระในชีวิต สามารถยอมรับโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ในหลักพุทธปรัชญาเถรวาทนั้น ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ รู้ชัด รู้ปฏิจจสมุปบาท รู้อริยสัจ 3) ปรัชญาภาวะผู้นำทางปัญญา คือ ปรัชญาที่สร้างบุคคลที่มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่สามารถสร้างสุขภาวะทางปัญญาให้เกิดมีในตน และแบ่งปัน เกื้อกูล เสียสละ ขับเคลื่อนให้สังคมเกิดสุขภาวะทางปัญญา ช่วยลดความทุกข์หรือขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมอย่างเป็นองค์รวมด้วยพลังสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหาโดยธรรม</p>
กีรติ บุญเจือ
เมธา หริมเทพาธิป
ชิสา กันยาวิริยะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
156
164
-
การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกรุงเทพ
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/2016
<p> การจัดการความรู้ซึ่งถือว่าเป็นทักษะสำคัญที่จะส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนบรรลุตามวิสัยทัศน์ที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกรุงเทพ ได้กำหนดขึ้น เพราะการจัดการความรู้เป็นรูปแบบหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาในการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนโดยเฉพาะทักษะในการแก้ปัญหาของผู้เรียนที่ยังไม่บรรลุตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ การวิจัยในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นที่จะศึกษาเพื่อค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกรุงเทพที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน ประกอบด้วย นักศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกรุงเทพ โดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการเชิงถดถอย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยทั้งหมดส่งผลต่อการจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติวิทยาเขตกรุงเทพฯโดยปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจแนวคิดมีค่าอิทธิพลมากที่สุด(β = 0.128,p< 0.05)รองลงมาเป็นปัจจัยด้านวัฒนธรรมองค์การ(β = 0.010,p< 0.05)และปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ(β = 0.018, p< 0.05)โดยมีค่าอิทธิพลรวมที่ระดับค่าอิทธิพลที่0.82อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติสามารถนำเครื่องมือหรือข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเช่นแบบวัดการจัดการความรู้ไปใช้ในการศึกษาทักษะการจัดการความรู้ของนักศึกษาในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ หรือใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยในการพัฒนาทักษะการจัดการความรู้ของนักศึกษาในอนาคตได้</p>
ขวัญเกล้า ศรีโสภา
ธนริศย์ ธนัยอุดมพัฒน์
สุกัญญา ฤทธิ์งาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
165
174
-
แพลตฟอร์มการแก้ปัญหาชาวนาและกลุ่มคนเปราะบางของโครงการกัลปนา มูลนิธิสหธรรมิกชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1802
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาของชาวนาและกลุ่มคนเปราะบางในสังคมไทย 2) เพื่อศึกษาแนวคิดการดำเนินงานของโครงการกัลปนา มูลนิธิสหธรรมิกชน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 3) เพื่อศึกษาแพลตฟอร์มการแก้ปัญหาชาวนาและกลุ่มคนเปราะบางของโครงการกัลปนา มูลนิธิสหธรรมิกชน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการศึกษาโดยการวิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาหลักของชาวนาและกลุ่มคนเปราะบางในสังคมไทย คือ การขาดความสามารถในการพึ่งพาตนเอง เนื่องจากราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง และขาดช่องทางการตลาดที่เป็นธรรม แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือ แต่ยังไม่สามารถสร้างความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง 2. โครงการกัลปนา มูลนิธิสหธรรมิกชน ได้นำแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ โดยเน้นหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข เพื่อส่งเสริมความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ในขณะที่สนับสนุนการพัฒนาบนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรม 3. แพลตฟอร์มการแก้ปัญหาชาวนาและกลุ่มคนเปราะบางของโครงการกัลปนา ได้ถูกออกแบบให้เกิดความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยการทำงานแบบองค์รวม ผ่านกระบวนการ สำรวจ วิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติ และประเมินผล (SAPAE) ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยมีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชาวนา กลุ่มผู้เปราะบาง องค์กรพัฒนาเอกชน และภาครัฐ เพื่อลดการพึ่งพานายทุนและพ่อค้าคนกลาง การดำเนินงานของโครงการกัลปนาช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงขึ้น ลดภาระหนี้สิน และสามารถเข้าถึงทรัพยากรการผลิตที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้กลุ่มผู้เปราะบางสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ผ่านแนวทางการแบ่งปันอย่างยั่งยืนที่มุ่งเน้นความเกื้อกูลและการพึ่งพาตนเอง</p>
เมธา หริมเทพาธิป
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
175
182
-
ธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัล: ความท้าทายและโอกาสสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์ไทย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/1970
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัลและผลกระทบต่อรัฐประศาสนศาสตร์ไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลที่เร่งตัวขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 การศึกษาวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสในการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลในบริบทดิจิทัลของประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาธรรมาภิบาลดิจิทัลของไทยประสบทั้งด้านโครงสร้างและระบบ บุคลากรและวัฒนธรรมองค์การ รวมถึงกฎหมายและความมั่นคงปลอดภัย ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ซึ่งได้สังเคราะห์ได้เป็น “โมเดลบูรณาการธรรมาภิบาลดิจิทัลไทย” ที่มีองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการ จากการวิเคราะห์แนวโน้มการพัฒนาธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัล พบว่าปัจจัยสำคัญที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ คือ การตระหนักว่าการพัฒนาไม่ใช่เพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น แต่เป็นการปฏิรูปกระบวนทัศน์และวิธีการบริหารจัดการภาครัฐทั้งระบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนักวิชาการด้านการบริหารรัฐกิจสมัยใหม่ที่มองว่าการปฏิรูปต้องเป็นไปในลักษณะองค์รวม (Holistic Approach) กล่าวโดยสรุป โอกาสที่เกิดจากการพัฒนาธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัลนำไปสู่การยกระดับสู่รัฐบาลอัจฉริยะ (Smart Government) ที่มีคุณลักษณะสำคัญสามประการ ได้แก่ ความโปร่งใส (Transparency) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และการตอบสนองความต้องการของประชาชน (Responsiveness) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการบริหารภาครัฐที่ดีในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง</p>
มุจจรินทร์ ทัศดรกุลพัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
183
192
-
แนวทางการขับเคลื่อนการศึกษาไทยด้วยการสอนแนวใหม่
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/src/article/view/3105
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการศึกษาไทยด้วยการจัดการเรียนการสอนแนวใหม่ที่ตอบสนองต่อบริบทของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 จากการศึกษาพบว่าการสอนแนวใหม่เป็นการนำแนวคิด วิธีการ กระบวนการ และนวัตกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บทความนำเสนอกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนทัศน์ใหม่ของการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง (Experiential Learning) การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) และการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) นอกจากนี้ยังเน้นย้ำบทบาทใหม่ของครูในฐานะผู้อำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) ที่สามารถออกแบบและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สื่อการสอน และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคลและความพร้อมของผู้เรียน การขับเคลื่อนการศึกษาด้วยการสอนแนวใหม่จำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย สนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งนี้เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยให้มีทักษะ ความรู้ และคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและโลกในอนาคต บทความจึงเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวปฏิบัติที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบในการจัดการเรียนรู้ของประเทศไทย</p>
พระแดนชัย สุริยวํโส (สุริยวงศ์)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-15
2025-07-15
6 2
193
205