https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/issue/feedวารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์2023-12-31T00:00:00+07:00ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อิศรา ศิรมณีรัตน์่jass_c@outlook.comOpen Journal Systems<p><strong>วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์</strong></p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 2 ฉบับต่อปี</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </strong>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านสังคมศาสตร์ประยุกต์, มนุษยศาสตร์, ภาษา, วัฒนธรรม, การจัดการภาครัฐและภาคธุรกิจ, การจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว, สังคมวิทยาและสิ่งแวดล้อม, สาธารณสุข นวัตกรรมด้านสังคม ประชากรศาสตร์ พลศึกษาและนันทนาการ การเรียนการสอน</p> <p>โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัย</p> <p> </p>https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/546 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงทางการยศาสตร์กับระดับความเจ็บปวด ของกล้ามเนื้อหลังและไหล่จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก2023-12-18T09:31:02+07:00ณัฐินี จิตรประเวศน์nattinee.jit@kmpht.ac.thสุทธิดา ภานุรัตน์nattinee.jit@kmpht.ac.thอมรรัตน์ มนตรีnattinee.jit@kmpht.ac.th<p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงทางการยศาสตร์จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ประเมินระดับความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อหลังและไหล่จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงทางกายศาสตร์กับระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อหลังและไหล่จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาจารย์และเจ้าหน้าที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก จังหวัดนนทบุรี ที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ 4 ชั่วโมงต่อวัน ขึ้นไป และมีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลังและไหล่ จากการคำนวณหากลุ่มตัวอย่างในโปรแกรม G*Power จำนวน 23 คน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ตาม Rapid office Strain Assessment (ROSA) และระดับความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อหลังและไหล่จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ One-Sample t-test และค่าสถิติ Pearson’s Correlation ผลการศึกษาพบว่า อาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ มีระดับความเสี่ยงอยู่ที่ 5 คะแนนขึ้นไป (ร้อยละ 82.6) ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมและปรับปรุงลักษณะในการทำงานโดยเร็วและยังมีระดับความเจ็บปวดอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.43 โดยบริเวณที่ปวดส่วนใหญ่คือกล้ามเนื้อหลัง Trapezius (ร้อยละ 91.3) รองลงมาคือกล้ามเนื้อหลัง Latissimus (ร้อยละ 34.8) และกล้ามเนื้อไหล่ Deltoid (ร้อยละ 30.4) นอกจากนี้ยังพบว่าความเสี่ยงทางการยศาสตร์กับระดับความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อหลังและไหล่จากการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ มีความสัมพันธ์กันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง</p> <p style="font-weight: 400;"> </p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/739Effects of Exposure to Pornography in Junior High School Students2023-10-24T16:14:35+07:00Dr. Linda Suwarnilinda.suwarni@unmuhpnk.ac.idYohana Intan Wahyunilinda.suwarni@unmuhpnk.ac.id<p>The development of technology and information makes it easier and easier to access pornographic content. adolescents are the group that uses the Internet the most, making them the most vulnerable to pornographic risks, which can lead to abnormal sexual behavior. This research aimed to identify of pornography exposure in junior high school students. This research was descriptive research with quantitative methods using a cross sectional approach. This study was conducted on students at SMPN 1 Capkala, Bengkayang Regency. The population in this study were all students who had been exposed to pornography at SMPN 1 Capkala, Bengkayang Regency, namely 79 people. Total sampling was used in this research. Univariate analysis was used. This research found that the majority of respondents were female (50.6%), and were in their early teens (91.1%), and 17.7% were dating. The reasons respondents accessed pornography were mostly influenced by peer invitations (50.6%), and 49.4% curiosity. As many as 65.8% of respondents accessed pornography for more than 1 hour, mostly time to accessed in the afternoon and evening (82.3%). Mobile phones are the most widely used means of accessing pornography (73.4%), and in the form of videos/films (67.1%). The effects of pornography exposure on respondents included addiction (32.9%), escalation (13.9%), desensitization and acting out (26.6%). It is recommended that health and educational services be provided in order to enhance the efficacy of programs such as PKPR, GenRe, peer counseling, and healthy school-based pornographic addiction screening.</p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/752ผลการเรียนที่ส่งผลต่อความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีชั้นปีที่ 42023-12-18T09:34:29+07:00ดาวเรือง เหลืองขจรdaoruang4404@gmail.comรุจิราพร แตงผึ้งrujirapron_t@mail.rmutt.ac.thธนาธร ศรีปทุมtharathorn.srip@outlook.com<p>งานวิจัยเรื่อง ผลการเรียนที่ส่งผลต่อความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชั้นปีที่ 4 การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2. เพื่อศึกษาว่าผลการเรียนจะส่งผลต่อความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 3. เพื่อเสนอแนวทางให้นักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้เรียนรู้ศักยภาพและความต้องการประกอบอาชีพที่คาดหวังการวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคล และแบบสอบถามเกี่ยวกับความคาดหวังในการประกอบอาชีพ โดยประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 และ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 220 คน วิเคราะห์ข้อมูลเป็นการดำเนินการเก็บข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ เพื่อนำมาซึ่งการทดสอบสมมติฐานและตอบโจทย์วิจัย การดำเนินการในขั้นตอนนี้จึงเป็นการเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมและการวิเคราะห์ผลจากข้อมูลที่ได้รับ เพื่อทราบถึงประเด็นความคาดหวังที่ศึกษา</p> <p>จากการศึกษาผลการเรียนที่ส่งผลต่อความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชั้นปีที่ 4 เพื่อศึกษาความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ข้อเสนอแนวทางให้นักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้เรียนรู้ศักยภาพและความต้องการประกอบอาชีพที่คาดหวัง ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างเกรดเฉลี่ย กับความคาดหวังจะประกอบอาชีพตรงตามสายการเรียนที่เรียนมาหรือไม่ พบว่าปัจจัยของเกรดเฉลี่ย ไม่มีความสัมพันธ์ต่อความคาดหวังจะประกอบอาชีพตรงตามสายการเรียนที่เรียนมา ทั้งนี้ความรู้สึกการเข้าสู่สังคมการทำงานกับมีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับความสำคัญที่ส่งผลกระทบมากที่สุด</p> <p> </p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/751Factors Affecting the University Life Adjustment of First-Year Students of Rajamangala University of Technology Thanyaburi2023-11-16T10:56:38+07:00สุพจน์ เดชเรืองsupot.detrueng@gmail.comยุพาพร สาระเวกsupot.detrueng@gmail.comพลอยชมพู กุลวิเศษsupot.detrueng@gmail.com<p>งานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวในการใช้ชีวิตภายในมหาวิทยาลัยของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ศึกษาและเปรียบเทียบความแตกต่างในการปรับตัว โดยจำแนกตามเพศสภาพ และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มีกระบวนการและปัจจัยด้านใดที่ส่งผลต่อการปรับตัว ในการใช้ชีวิตภายในมหาวิทยาลัยของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี</p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการวิจัย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยภายนอก ได้แก่ ด้านสังคม ด้านการเรียน ด้านอารมณ์ และด้านการเข้าร่วมกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัย ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สุ่มตัวอย่าง จำนวน 396 คน ใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ T-Test การวิเคราะห์ โดยเป็นการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยด้านสังคม มีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก พบว่าเพศหญิงมีการปรับตัวในการใช้ชีวิตภายในมหาวิทยาลัยด้านสังคมดีกว่าเพศชาย 2) ปัจจัยด้านการเรียน มีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกัน มีการปรับตัวไม่แตกต่างกัน 3)ปัจจัยด้านอารมณ์ มีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกัน มีการปรับตัวไม่แตกต่างกัน 4)ปัจจัยด้านการเข้าร่วมกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัย มีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกัน มีการปรับตัวไม่แตกต่างกัน</p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/729An Analysis on the Management of Teachers' Ability Improvement in Universities2023-12-18T09:38:43+07:00YuQiao Shen514873309@qq.comAnqi Ming425615702@qq.comCheng Li425615702@qq.comShuangyu Yang425615702@qq.comYifei Yan425615702@qq.comYun Lin425615702@qq.com<p>This comprehensive review synthesizes a diverse body of academic research focused on elevating the instructional capabilities of educators, particularly within applied universities. It offers a comprehensive overview of faculty development, such as professional growth, role clarity among educators, career progression, conflict resolution and teachers' development. By drawing insights from a multitude of research studies on faculty development in China, this review examines 25 articles published since 2006. It is found that most schools mainly focus on two main aspects of teacher management:the development of teacher quality and teachers develop management models. In fact, with the change and development of The Times, more and more young people join this profession as teachers. According to the current actual situation, many universities begin to change the management methods of young group ability improvement, such as more emphasis on encouraging young teachers to participate in relevant competitions. The purpose of this paper is to find out the research focus of teacher capacity improvement management in universities and track its evolution, so as to identify the emerging focus in the field of teacher management.</p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jass/article/view/730Characteristics and Reference Value of Canadian PPP Model2023-11-13T12:45:03+07:00Xuejiao Zhu425615702@qq.comJunjie He1135849792@qq.comHaibin Shan1135849792@qq.com<p>This paper focuses on the study of the PPP model in Canada, and through the study of Canada, the characteristics of its PPP model and the reference value for the development of PPP models in other countries are obtained. This paper reviewed 20 literatures at home and abroad, based on the relevant theories of PPP model, sorted out the development process of the Canadian PPP model, learned the experience and lessons in the development process of the Canadian PPP model, and summarized the two developments of the Canadian PPP model in the past 30 years. The PPP model in the first wave from 1991 to 2003 is a typical "hybrid", which is in the difficult stage of turning theory into practice. The second wave is from 2004 to the present, the provincial government of Canada as the main pioneer of PPP, PPP model has developed into a continuous institutionalization, providing large-scale infrastructure construction and services of the conventional model, creating a more dynamic PPP market.</p>2023-12-31T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารสังคมศาสตร์ประยุกต์