วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams <p><strong>วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์</strong></p> <p><strong>ISSN</strong> 3057-0689 (Online) </p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในสาขาวิทยาการจัดการทุกศาสตร์ เช่น สาขาการจัดการ สาขาบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด สาขาทรัพยากรมนุษย์ สาขาเศรษฐศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ สาขาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม และสาขาบัญชี เป็นต้น</p> <p><strong>นโยบายด้านการคัดลอกผลงาน (</strong><strong>Plagiarism) และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)</strong> ทางวารสารฯ รับเฉพาะบทความที่มีคุณภาพทางด้านวิชาการและไม่มีปัญหาด้านการคัดลอกผลงาน เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารฯ เท่านั้น รวมถึงไม่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเขียนบทความ โดยทางกองบรรณาธิการวารสารฯ จะใช้การตรวจสอบด้านการคัดลอกผลงานด้วยอักขราวิสุทธิ์ในเบื้องต้น และอาจใช้โปรแกรมอื่น ๆ เพิ่มเติม</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาคุณภาพของบทความ </strong>บทความที่ผ่านการพิจารณาในขั้นตอนการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการของวารสารฯ จะพิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินคุณภาพของบทความดังกล่าว จำนวน 3 คน โดยใช้ระบบ Double-blind peer review (ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความไม่ทราบชื่อของผู้แต่งบทความ และผู้แต่งบทความไม่ทราบชื่อของผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong>ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> th-TH ms.jamsjournal@gmail.com (ดร.ปาณิสรา คงปัญญา (Dr.Panisra Kongpanya)) kanya.say@pcru.ac.th (กัญญา สายสิงห์เทศ (Ms.Kanya Saysingtes))) Sat, 30 Nov 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 พฤติกรรมการซื้อสินค้าแฟชั่น และปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1508 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เมื่อจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำนวน 357 ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.976 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ Shopee ในการเลือกซื้อเสื้อแฟชั่น โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 201-400 บาทต่อครั้ง และเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นออนไลน์ที่มีราคาถูก 2) ส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมา ได้แก่ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการบริการ ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านพนักงาน ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านราคา ตามลำดับ และ 3) นักศึกษาที่มีอายุ คณะที่ศึกษาอยู่ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกันมีระดับปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> ฐิติมา ชัยเชิดชู, ณัฐฏวลัญช์ น้อยวงศ์, สุดารัตน์ น้อยพรม, อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ วิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1508 Fri, 11 Oct 2024 00:00:00 +0700 บทบาทคั่นกลางของความพึงพอใจที่เชื่อมโยงคุณค่าที่รับรู้ไปสู่ความจงรักภักดีของคลินิกเสริมความงามในจังหวัดเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1500 <p class="JamsL05"><span lang="TH" style="letter-spacing: -.2pt;">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ </span><span lang="TH">1) <span style="letter-spacing: -.2pt;">เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของคุณค่าที่รับรู้ ความพึงพอใจ ความจงรักภักดี ของคลินิกเสริมความงามในจังหวัดเพชรบูรณ์</span> 2) <span style="letter-spacing: -.2pt;">เพื่อทดสอบบทบาทคั่นกลางของความพึงพอใจที่เชื่อมโยงคุณค่าที่รับรู้และความจงรักภักดี </span>และ </span>3<span lang="TH">) <span style="letter-spacing: -.2pt;">เพื่อ</span>ทดสอบตัวแปรกำกับของชื่อเสียงที่เชื่อมโยงคุณค่าที่รับรู้และความจงรักภักดี <span style="letter-spacing: -.2pt;">โดยการศึกษาครั้งนี้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน </span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">40<span lang="TH">0 คน แล้วนํามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลวิจัยพบว่า ระดับความสำคัญที่สูงสุดของปัจจัยที่ศึกษาของคลินิกเสริมความงามในจังหวัดเพชรบูรณ์ </span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.1pt;">คือ </span><span lang="TH">ความพึงพอใจ <span style="letter-spacing: -.1pt;">รองลงมา คือ </span>ความจงรักภักดี<span style="letter-spacing: -.1pt;"> และ</span>คุณค่าที่รับรู้ ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างพบว่า ความพึงพอใจเป็นปัจจัยคั่นกลางซึ่งเป็นปัจจัยที่จะเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงคุณค่าที่รับรู้ไปสู่ความจงรักภักดีแบบส่งผ่านแบบบางส่วนและชื่อเสียง<span style="letter-spacing: -.3pt;">เป็นตัวแปรกำกับอิทธิพลคุณค่าที่รับรู้ที่มีต่อความพึงพอใจ</span><span style="letter-spacing: .1pt;">โดยเป็นตัวแปรกำกับเพียงบางส่วน </span></span></p> บวรลักษณ์ เงินมา, อดุลย์ศิริ สัตย์เจริญ, ดอกอ้อ ขวัญนิน, พิชยพิมพ์ คำเพียร, สาวิตรี วงศ์สุรเศรษฐ์, ปราณีต ใจหนัก Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ วิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1500 Tue, 15 Oct 2024 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ องค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1435 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ องค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ องค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 297 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้ การทดสอบทีและการทดสอบเอฟที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร โดยรวมทั้ง 4 ด้าน มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านอาคาร สถานที่ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านพนักงานจัดเก็บรายได้ และด้านการบริหารการจัดเก็บรายได้ ตามลำดับ ส่วนด้านนโยบายการจัดเก็บรายได้ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า ประชาชน ที่มีเพศ อายุ และอาชีพต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนประชาชนที่มีระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้รับบริการในงานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลคณฑี อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> กมลชนก แซ่จิว Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ วิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1435 Mon, 11 Nov 2024 00:00:00 +0700 ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ กรณีศึกษา น้ำตกโตนงาช้าง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1469 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ กรณีศึกษาน้ำตกโตนงาช้างและ (2) เพื่อศึกษาระดับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ กรณีศึกษาน้ำตกโตนงาช้าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 120 คน งานวิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ทางสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา อยู่ในระดับสูง โดยเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวในด้านสิ่งดึงดูดใจอยู่ในระดับสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว ด้านการเข้าถึงและการให้บริการของแหล่งท่องเที่ยว ตามลำดับ</p> จักรพันธ์ แก้วสว่าง, ชัญญานุช แกล้วทนงค์, พงศ์พัฒน์ จุลมณีโชติ, พรธิตา เพ็ชเส้ง, พลอยชมพู โมสิกรัตน์, สิรภัทร กำแหง, จารุวรรณ ทองเนื้อแข็ง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ วิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1469 Mon, 11 Nov 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการร้านอาหารสุกี้ชาบูประเภทบุฟเฟต์ ของผู้บริโภคในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1492 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการร้านสุกี้ชาบู ประเภทบุฟเฟต์ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ลูกค้าที่ใช้บริการร้านสุกี้ชาบู จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที (T-Test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 54.2 มีช่วงอายุ 21 - 30 ปี คิดเป็นร้อยละ 45.8 มีการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 44.2 มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษา คิดเป็นร้อยละ 44.2 และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 35.0 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งด้านบุคลากรมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดอยู่ที่ 4.68 รองลงมา คือ ด้านภาพลักษณ์และการนำเสนอ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.65 และน้อยที่สุดคือด้านการส่งเสริมการขาย มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.49 และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการร้านสุกี้ชาบูประเภทบุฟเฟต์ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำแนกตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ พบว่า เพศ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมีความแตกต่างกันอย่าง<br />มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> กิตติพงศ์ ศิริพรหมพิทักษ์, ศกานต์ อุปการสง, ณัฏฐ์กฤต เบญจพลพิทักษ์ , ธีรภัทร์ บุญชู, ศศธรศ์ศินภา มหาศาลเลิศพิพัฒน์, ดนวัต สีพุธสุข Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ วิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1492 Mon, 11 Nov 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1531 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบปัจจัยการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 389 คน จากมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย รวม 10 แห่ง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่มีความสำคัญในการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งเรียงลำดับ 5 ลำดับแรก ได้แก่ (1) คาดหวังว่าจะประกอบอาชีพที่มีเกียรติ สร้างความภูมิใจต่อตนเองและครอบครัว (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) (2) ตัดสินใจเพราะจะนำความรู้ที่ได้กลับมาประกอบอาชีพในท้องถิ่น (ปัจจัยด้านวัฒนธรรม) (3) ตัดสินใจตามความต้องการของตนเองที่ตั้งไว้(ปัจจัยด้านจิตวิทยา) (4) สามารถกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ (ปัจจัยด้านการตลาด) และ (5) หลักสูตรที่เปิดสอนตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน (ปัจจัยด้านการตลาด) ตามลำดับ และ 2) นักศึกษาที่มีเพศ อาชีพของบิดา-มารดา และผลการเรียนเฉลี่ยสะสมที่ต่างกันตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไม่แตกต่างกัน ในขณะที่นักศึกษาที่มีรายได้ครอบครัวและคณะวิชาที่ศึกษาที่ต่างกันตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จิฏติภักษ์ ศรีสุรธีกูล, บุญมา อิ่มวิเศษ, สำราญ บุญเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1531 Sat, 30 Nov 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ความผันผวนของราคาทองคำในประเทศไทยด้วยแบบจำลอง GARCH: หลักฐานเชิงประจักษ์จากตลาดทองคำไทยช่วงหลัง Covid-19 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1526 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความผันผวนของราคาทองคำในประเทศไทยช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 โดยใช้แบบจำลอง GARCH (1,1) กับข้อมูลราคาทองคำรายวันย้อนหลัง 2 ปี 8 เดือน ผลการศึกษาพบว่าความผันผวนของราคาทองคำไทยมีลักษณะคงทนสูง โดยมีค่า β เท่ากับ 0.764646 และผลรวมของ α และ β เท่ากับ 0.987376 แสดงถึงการมี long memory ในความผันผวน แบบจำลอง GARCH(1,1) สามารถจับพลวัตของความผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่พบหลักฐานของ autocorrelation ที่มีนัยสำคัญของ Error Terms การพยากรณ์แสดงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของความผันผวนในระยะสั้น สะท้อนให้เห็นว่าแบบจำลองพยากรณ์ว่าตลาดทองคำไทยจะมีความผันผวนในระดับต่ำ หรืออีกนัยหนึ่งคือคาดการณ์ว่าผลตอบแทนจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ ที่ระบุว่าราคาในปัจจุบันได้สะท้อนข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว ผลการศึกษานี้มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนและการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทองคำไทยในยุคหลังโควิด-19 โดยชี้ให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และราคาทองคำโลก ซึ่งมีผลต่อการวิเคราะห์และคาดการณ์ความผันผวนของราคาทองคำในประเทศไทย</p> ศิลา โทนบุตร Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/1526 Sat, 30 Nov 2024 00:00:00 +0700