https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/issue/feed
วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
2025-10-17T13:47:10+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อำพล ชะโยมชัย (Assistant Professor Dr.Ampol Chayomchai)
ms.jamsjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์</strong></p> <p><strong>ISSN</strong> 3057-0689 (Online) </p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในสาขาวิทยาการจัดการทุกศาสตร์ เช่น สาขาการจัดการ สาขาบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด สาขาทรัพยากรมนุษย์ สาขาเศรษฐศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ สาขาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม และสาขาบัญชี เป็นต้น</p> <p><strong>นโยบายด้านการคัดลอกผลงาน (</strong><strong>Plagiarism) และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)</strong> ทางวารสารฯ รับเฉพาะบทความที่มีคุณภาพทางด้านวิชาการและไม่มีปัญหาด้านการคัดลอกผลงาน เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารฯ เท่านั้น รวมถึงไม่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเขียนบทความ โดยทางกองบรรณาธิการวารสารฯ จะใช้การตรวจสอบด้านการคัดลอกผลงานด้วยอักขราวิสุทธิ์ในเบื้องต้น และอาจใช้โปรแกรมอื่น ๆ เพิ่มเติม</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาคุณภาพของบทความ </strong>บทความที่ผ่านการพิจารณาในขั้นตอนการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการของวารสารฯ จะพิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินคุณภาพของบทความดังกล่าว จำนวน 3 คน โดยใช้ระบบ Double-blind peer review (ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความไม่ทราบชื่อของผู้แต่งบทความ และผู้แต่งบทความไม่ทราบชื่อของผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong>ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p>
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3209
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทาง ของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด
2025-09-30T13:01:45+07:00
พีรวิชญ์ สิงฆาฬะ
peravich.sin@gmail.com
เฉลิมเกียรติ เฟื่องแก้ว
lecoqchezmoi@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด 2) ศึกษาการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด 3) เปรียบเทียบลักษณะประชากรศาสตร์กับการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด และ 4) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 153 คน ซึ่งขนาดกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการคำนวณจากโปรแกรม G Star Power เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ t-test, One Way ANOVA และ Simple Linear Regression</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 41-50 ปี การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และมีรายได้ระหว่าง 10,001-20,000 บาท ซึ่งปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<em> </em>= 3.65) และการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<em> </em>= 3.73) ทั้งนี้ ลักษณะประชากรศาสตร์มีเพียงรายได้ที่ต่างกันมีการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการรถโดยสารประจำทางของผู้โดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยสามารถอธิบายความผันแปรของการตัดสินใจได้ร้อยละ 60.90</p>
2025-12-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3674
ผลกระทบของวงจรเงินสดที่มีต่อกระแสเงินสดสุทธิของ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-08-27T10:58:43+07:00
ณลิยา จันทร์สุข
chansuk1698@gmail.com
เฉวียง วงค์จินดา
chansuk1698@gmail.com
วรพรรณ รัตนทรงธรรม
chansuk1698@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวงจรเงินสดและกระแสเงินสดสุทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 2) ศึกษาผลกระทบของวงจรเงินสดที่มีต่อกระแสเงินสดสุทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 490 บริษัท ที่มีรายงานผลการดำเนินงานต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ 2564–2566 รวมจำนวนข้อมูลทั้งสิ้น 1,470 ชุด โดยเก็บรวบรวมข้อมูล 1) วงจรการแปลงเงินสด 2) อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า 3) อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ 4) อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า 5) ขนาดของบริษัท และ 6) กระแสเงินสดสุทธิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทางการเงิน และใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) วงจรการแปลงเงินสดมีค่าเฉลี่ย -18,726.79 วัน อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้ามีค่าเฉลี่ย 22.10 ครั้ง อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือมีค่าเฉลี่ย 132.64 ครั้ง อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้ามีค่าเฉลี่ย 9.87 ครั้ง ขนาดของบริษัทมีค่าเฉลี่ย 41,611.97 ล้านบาท และกระแสเงินสดสุทธิมีค่าเฉลี่ย 182.31 ล้านบาท และ 2) องค์ประกอบของวงจรเงินสดทั้ง 4 ตัวแปร ได้แก่ วงจรการแปลงเงินสด (CCC) อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า (APT) อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า (ART) และอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (IT) ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อกระแสเงินสดสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย</p>
2025-10-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3179
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการ การรับรู้และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
2025-07-03T09:25:48+07:00
ธีรภัทร ดีเอม
teerapattarad62@nu.ac.th
ภรวลัญช์ มาอยู่
teerapattara.dee@pcru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการบริการ การรับรู้และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการ การรับรู้และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว โดยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคุณภาพบริการ การรับรู้และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลางและการรับรู้มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง โดยทั้งสองตัวแปรมีความสัมพันธ์แบบแปรผัน หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-10-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3308
การพัฒนาตัวชี้วัดคุณภาพการบริการดิจิทัลในยุคดิจิทัล
2025-08-27T22:32:18+07:00
กรกต นิ่มเมือง
korrakot.ni@bcc1852.com
ธีระวัฒน์ จันทึก
thirawat.scb@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาตัวชี้วัดคุณภาพการบริการดิจิทัลที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ 3 ประการ ได้แก่ 1) การสร้างตัวชี้วัดสำหรับประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ 2) การวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาตัวชี้วัดในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และ 3) การศึกษาผลของการวิเคราะห์ข้อมูลต่อการเพิ่มความแม่นยำของตัวชี้วัดที่พัฒนาขึ้น การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ด้วยการสังเคราะห์และวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งทุติยภูมิในวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ตัวชี้วัดคุณภาพการบริการดิจิทัลที่เหมาะสมควรประกอบด้วยมิติหลัก 5 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ การตอบสนอง ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย และความง่ายในการใช้งาน ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาตัวชี้วัด ได้แก่ การบูรณาการเทคโนโลยี ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล และความต้องการเฉพาะของแต่ละภาคส่วน นอกจากนี้ยังพบว่าการนำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้มีส่วนช่วยเพิ่มความแม่นยำของตัวชี้วัดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ งานวิจัยได้นำเสนอข้อเสนอแนะในหลายระดับ ตั้งแต่เชิงนโยบาย เชิงวิชาการ ตลอดจนแนวทางสำหรับการวิจัยในอนาคต เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบริการดิจิทัลให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-10-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3595
อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าที่มีต่อความตั้งใจซื้อซ้ำผ่าน TikTok ไลฟ์สตรีมมิ่ง
2025-08-27T22:45:15+07:00
สุธีรา เดชนครินทร์
suteera.de@skru.ac.th
ธนัญญา ยินเจริญ
suteera.de@skru.ac.th
อัคญาณ อารยะญาณ
suteera.de@skru.ac.th
<p class="AL05"><span lang="TH">วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือ เพื่อศึกษาอิทธิพลของการรับรู้คุณค่า ได้แก่ <a name="_Hlk201518521"></a>การรับรู้คุณค่าเชิงอรรถ<span style="letter-spacing: -.2pt;">ประโยชน์ การรับรู้คุณค่าเชิงสุนทรียะ และการรับรู้คุณค่าทางสังคม</span><span style="letter-spacing: -.2pt;"> ที่มีต่อความตั้งใจซื้อซ้ำผ่าน </span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">TikTok <span lang="TH">ไลฟ์สตรีมมิ่ง</span></span><span lang="TH"> กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้า</span> 364 <span lang="TH">ราย ที่เคยซื้อสินค้าผ่าน </span>TikTok <span lang="TH">ไลฟ์สตรีมมิ่ง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามออนไลน์และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยค้นพบว่าการรับรู้คุณค่าเชิงสุนทรียะและการรับรู้คุณค่าทางสังคมมีอิทธิพลทางตรงอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจซื้อซ้ำ แต่การรับรู้คุณค่าเชิงอรรถประโยชน์ไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจซื้อสินค้าซ้ำในบริบท </span>TikTok <span lang="TH">ไลฟ์สตรีมมิ่ง นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคใน </span>TikTok <span lang="TH">ไลฟ์สตรีมมิ่งให้ความสำคัญกับคุณค่าด้านความบันเทิงหรือด้านอารมณ์มากกว่าจะคำนึงถึงประโยชน์เชิงหน้าที่หรือความจำเป็นในการใช้งาน นอกจากนี้ยังค้นพบว่า การรับรู้คุณค่าทางสังคมมีอำนาจการพยากรณ์สูงสุด แสดงว่าการรับรู้คุณค่าทางสังคมเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อความตั้งใจซื้อซ้ำผ่าน </span>TikTok <span lang="TH">ไลฟ์สตรีมมิ่ง จึงเป็นการตอกย้ำว่าการรับรู้คุณค่าทางสังคมมีความจำเป็นที่จะต้องนำมาศึกษาในบริบทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไลฟ์สตรีมมิ่งสำหรับประเทศที่มีวัฒนธรรมกลุ่มนิยมสูงอย่างเช่นประเทศไทย</span></p>
2025-11-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/4123
องค์ประกอบการตัดสินใจเข้ารับบริการด้านการแพทย์แผนจีนตามทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด
2025-10-08T15:17:01+07:00
กิตติ ศศิวิมลลักษณ์
phing_kit@hotmail.com
กัณฑรัตน์ เหล็กแก้ว
phing_kit@hotmail.com
ภาวิณี เจริญศิริสุทธิกุล
phing_kit@hotmail.com
อุบล มะระ
phing_kit@hotmail.com
สิรีธร ศรีโชติ
phing_kit@hotmail.com
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลการตัดสินใจเข้ารับบริการด้านการแพทย์แผนจีนตามทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เข้ารับการรักษาและบริการทางสุขภาพที่เจินอัน คลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีน จำนวน 385 คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิเคราะห์ พบว่า องค์ประกอบของการตัดสินใจเข้ารับบริการด้านการแพทย์แผนจีน ประกอบด้วย 7 ด้าน คือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านหลักฐานทางกายภาพ และด้านกระบวนการ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าไคสแควร์ = 3.29, p = 0.51, df = 4, GFI = 1, AGFI = 0.98, RMR = 0.01, Standardized Residual = 1.59 และ Q-Plot ชันกว่าเส้นทแยงมุม ซึ่งองค์ประกอบของปัจจัยทางการตลาดที่มีต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการด้านการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับด้านกระบวนการเป็นอันดับแรก (0.94) รองลงมา คือ ด้านบุคลากร (0.93), ด้านหลักฐานทางกายภาพ (0.91), ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (0.87), ด้านผลิตภัณฑ์ (0.71), ด้านราคา (0.69) และส่วนที่ให้ความสำคัญลำดับสุดท้าย คือ ด้านการส่งเสริมการตลาด (0.62)</p>
2025-11-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/4356
การพยากรณ์ราคามะเขือเปราะแบบมีส่วนร่วมของเกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์
2025-10-14T14:34:28+07:00
เบญจมาพร พูลแก้ว
benjamaporn.poonkaeo@gmail.com
กชกร คล้ายหิรัญ
kingkaewkhlayhiran2003@gmail.com
วิไลพร วงษ์อินทร์
Wilaiporn.Won@pcru.ac.th
กริชชัย ขาวจ้อย
kritchai.kho@pcru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบและเลือกวิธีการพยากรณ์อนุกรมเวลาที่ดีที่สุดในการพยากรณ์ราคามะเขือเปราะของจังหวัดเพชรบูรณ์แบบมีส่วนร่วมกับเกษตรกร โดยทำการเปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์ จำนวน 98 รูปแบบ จาก 5 วิธี คือ (1) วิธีค่าตรงตัว (2) วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (3) วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลชั้นเดียว (4) วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลสองชั้น และ (5) วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบวินเทอร์ โดยใช้ชุดข้อมูลราคาขายของมะเขือเปราะจากตลาดไท ตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 ถึง 30 มีนาคม 2568 จำนวน 1,550 ข้อมูล มาสร้างเป็นตัวแบบพยากรณ์ จากนั้นจึงเปรียบเทียบค่าพยากรณ์ที่ได้จากตัวแบบกับค่าจริง งานวิจัยนี้พิจารณาวิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสมจาก ค่าเฉลี่ยร้อยละของความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) ค่าความผิดพลาดสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAD) และ ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดกำลังสอง (MSE) ที่ต่ำที่สุด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบวินเทอร์ (Alpha = 1.0, Gamma = 0.2, Delta = 0.2 ถึง 1.0) เหมาะสำหรับการพยากรณ์ราคาขายต่ำสุดของมะเขือเปราะ ซึ่งให้ค่า MAPE = 0.0167 MAD = 0.0025 และ MSE = 0.0019 (2) วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบวินเทอร์ (Alpha = 0.8, Gamma = 0.4, Delta = 0.2 ถึง 1.0) เหมาะสำหรับการพยากรณ์ราคาขายสูงสุดของมะเขือเปราะ ซึ่งให้ค่า MAPE = 0.0133 MAD = 0.0023 และ MSE = 0.0021 และ (3) เกษตรกรส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีค่าตรงตัวมากกว่าวิธีที่ให้ความแม่นยำสูงสุด คือวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบวินเทอร์ เนื่องจากวิธีค่าตรงตัว ง่ายต่อการเข้าใจและช่วยในการตัดสินใจแบบทันที การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้ว่าวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบวินเทอร์ จะให้ความแม่นยำเชิงสถิติดีกว่า แต่การยอมรับในการใช้งานจริงต้องอาศัยการแปลผลพยากรณ์ที่ง่ายและใช้ได้จริง</p>
2025-11-20T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/jams/article/view/3978
การวิเคราะห์เชิงปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเชียงราย
2025-10-06T12:08:18+07:00
พิทยาภรณ์ พุ่มพวง
pittayaporn.pum@crru.ac.th
สุธีรา ดีวิท
pittayaporn.pum@crru.ac.th
สุรินทร์ พิทักษ์สิกุล
pittayaporn.pum@crru.ac.th
อัญยาณีย์ เกตุพันธุ์
pittayaporn.pum@crru.ac.th
จิรพัฒน์ อุปถัมภ์
pittayaporn.pum@crru.ac.th
อรกัญญา กันทะชัย
pittayaporn.pum@crru.ac.th
<p class="AL05"><span lang="TH" style="color: windowtext;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเชียงราย โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์และความเป็นผู้นำ ประสบการณ์จากลูกค้า กระบวนการปฏิบัติงาน รูปแบบธุรกิจ ความสามารถทางดิจิทัล และการสนับสนุนจากภาครัฐ กับระดับความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน </span><span style="color: windowtext;">333 <span lang="TH">ราย ซึ่งได้จากการคำนวณสูตรของ </span>Yamane <span lang="TH">(</span>1973<span lang="TH">) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า </span>5 <span lang="TH">ระดับและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองเชิงสถิติการถดถอยพหุคูณ </span></span></p> <p class="AL05"><span lang="TH" style="color: windowtext;">ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลองการวิเคราะห์มีค่าความสอดคล้องเชิงสถิติที่ดี โดยสามารถอธิบาย<span style="letter-spacing: .4pt;">ความแปรปรวนของความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้ร้อยละ </span></span><span style="color: windowtext; letter-spacing: .4pt;">80<span lang="TH">.</span>2 <span lang="TH">(</span>R² <span lang="TH">= </span>0<span lang="TH">.</span>802<span lang="TH">) และไม่มีปัญหา</span></span><span lang="TH" style="color: windowtext;">ความสัมพันธ์ซ้ำซ้อนระหว่างตัวแปรต้น (</span><span style="color: windowtext;">VIF < 5, Tolerance > 0<span lang="TH">.</span>10<span lang="TH">) ปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span>p < 0<span lang="TH">.</span>01<span lang="TH">) ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐ (</span></span><span style="font-size: 11.0pt; font-family: 'Arial',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span lang="TH" style="color: windowtext;"> = </span><span style="color: windowtext;">0<span lang="TH">.</span>749<span lang="TH">) และ กลยุทธ์และความเป็นผู้นำ (</span></span><span style="font-size: 11.0pt; font-family: 'Arial',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span lang="TH" style="color: windowtext;"> = </span><span style="color: windowtext;">0<span lang="TH">.</span>312<span lang="TH">) ซึ่งเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อระดับความพร้อมทางดิจิทัลของวิสาหกิจชุมชนมากที่สุด</span></span> <span lang="TH" style="color: windowtext;">ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดต่อการปรับตัวทางดิจิทัลของวิสาหกิจชุมชน เนื่องจากการกำหนดนโยบาย การจัดสรรทรัพยากร และการส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจชุมชน ขณะเดียวกัน กลยุทธ์และความเป็นผู้นำภายในองค์กรมีส่วนผลักดันให้เกิดการปรับตัวเชิงรุกและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสานระหว่างแรงขับภายใน (เช่น ภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์องค์กร) กับแรงสนับสนุนภายนอก (เช่น นโยบายและระบบสนับสนุนจากภาครัฐ) จึงเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความพร้อมสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืน</span></p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์