วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp <p>วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา เป็นวารสารของงานวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยมีเป้าประสงค์สำคัญคือการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมศาสตร์ในรูปแบบของบทความวิชาการและบทความวิจัย</p> th-TH <p>การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้รายใดก็ตามที่จะอ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังข้อความทั้งหมดของบทความ รวบรวมข้อมูลสำหรับการจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า (<a href="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License</strong></a>)</p> <p><img src="https://so03.tci-thaijo.org/public/site/images/wasin/-1-b597ca46009bc0604562a0357d7cbe89.jpg" alt="" width="206" height="83" /></p> <p>This work is licensed under a <a href="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License</strong></a></p> therdsak.pa@cpru.ac.th (Therdsak Paijuntuek) jssp@cpru.ac.th (Monsalai Roberts) Fri, 26 Dec 2025 21:01:20 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 นโยบายสาธารณะเพื่อการคุ้มครองเด็กจากภัยแผ่นดินไหว: ข้อเสนอแนะต่อสังคมไทย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3192 <p>บทความนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นกับเด็กทั้งมิติด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านการศึกษา โดยชี้ให้เห็นว่าเมือมีภัยพิบัติเกิดขึ้น เด็กในพื้นที่ห่างไกลหรือมีฐานะยากจนจะมีความเปราะบางสูงจากความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและข้อจำกัดของการให้ความช่วยเหลือ บทความนี้จึงนำกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และชิลี <br />ที่มีนโยบายการจัดการภัยพิบัติเพื่อคุ้มครองเด็กอย่างเป็นระบบมาศึกษา โดยข้อถกเถียงหลักของบทความนี้คือ กรอบการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทยยังขาดความเป็นระบบและไม่นำเด็กมาเป็นศูนย์กลาง โดยใช้แนวคิดสิทธิเด็ก (Child Rights-Based Approach) เป็นหลัก มุ่งเน้นการปกป้องเด็กอย่างยั่งยืนจากการสร้างกลไกให้เด็ก ครู และชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนภัยพิบัติ รวมทั้งกำหนดมาตรการเตรียมความพร้อม การรับมือ และการฟื้นฟูอย่างครบวงจร การบูรณาการแนวทางเหล่านี้ในนโยบายระดับชาติจะช่วยเสริมสร้างการคุ้มครองเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และเป็นธรรมในทุกขั้นตอน</p> บุญฑริกา โกมลวัฒนานันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3192 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาระบบและกลไกการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3668 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปญหาเกี่ยวกับการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และศึกษาหาแนวทางพัฒนาการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการหาข้อมูลและใช้กลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคลากรทั้งหมด จำนวน 8 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์แบบอุปนัย ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <p>ปัญหาการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ปัญหาในขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;มีความซับซ้อนของระเบียบและขั้นตอนต้องใช้เอกสารประกอบจำนวนมาก ปัญหาหลักเกี่ยวกับเอกสารประกอบฎีกาเบิกเงิน ขาดเอกสารสำคัญ ข้อมูลไม่ตรงกัน เอกสารไม่มีการลงนามอนุมัติ ปัญหาในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ คือความไม่เข้าใจระเบียบบุคลากรบางคนอาจไม่เข้าใจระเบียบและหลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอย่างถ่องแท้ ปัญหาเกี่ยวกับเอกสารเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ไม่มีเอกสารอนุมัติที่ครบถ้วนตามระเบียบและหลักเกณฑ์การเบิกจ่าย มีซับซ้อนในการจัดทำแผนและประมาณการค่าใช้จ่าย ปัญหาหลักในการเบิกเงินนอกงบประมาณรายจ่าย การขาดการควบคุมและการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ ปัญหาหลักในการตรวจและอนุมัติฎีกา เอกสารผู้รับเงินไม่ถูกต้องของเอกสารที่ส่งมาตั้งแต่แรกการตีความทำได้ยากและอาจไม่ตรงกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานและผู้อนุมัติ ปัญหาขั้นตอนการเบิกจ่ายเงิน (หลังจากอนุมัติฎีกาแล้ว) ข้อมูลบัญชีไม่ถูกต้อง ผู้รับเงินไม่ได้ตรวจสอบสถานะบัญชีของตนเอง หลักฐานการโอนเงินไม่เพียงพอปัญหาหลักการจ่ายเงินยืมทดรองราชการ ผู้ยืมไม่ส่งเอกสารขออนุมัติเบิกจ่ายล้างหนี้ตามกำหนดความไม่เข้าใจระเบียบผู้ยืมและผู้ปฏิบัติงานอาจไม่เข้าใจระเบียบเงินยืม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>แนวทางการพัฒนาการเบิกจ่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ต้องลดความซับซ้อนของระเบียบ และขั้นตอน ปรับปรุงระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและนำเทคโนโลยีมาใช้ แก้ไขปัญหาเอกสารประกอบฎีกาเบิกเงิน ด้วยการจัดทำคู่มือที่ชัดเจน รวบรวมระเบียบ ข้อบังคับ จัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรผู้จัดทำเอกสารและผู้เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่าย แก้ไขปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ โดยการจัดอบรมและเผยแพร่คู่มือการเบิกจ่าย ใช้แบบฟอร์มการขออนุมัติเดินทางที่ระบุรายละเอียดชัดเจน แก้ไขปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ด้วยการจัดทำคู่มือที่ละเอียดและเข้าใจง่ายและจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ สร้างช่องทางการสื่อสาร แก้ไขปัญหาในการเบิกเงินนอกงบประมาณรายจ่ายด้วยการจัดทำคู่มือและฐานข้อมูลระเบียบเฉพาะ จัดทำ Flowchart แสดงขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ แก้ไขปัญหาในการตรวจและอนุมัติฎีกา โดยการพัฒนาบุคลากรและจัดอบรมเชิงลึกและต่อเนื่องเน้นการตีความระเบียบ นำเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศมาใช้ แก้ไขปัญหาในขั้นตอนการเบิกจ่ายเงิน (หลังจากอนุมัติฎีกาแล้ว) สร้างระบบตรวจสอบข้อมูลบัญชีผู้รับเงินของเงินยืมทดรองราชการในการติดตามและการเร่งรัดการหักล้างหนี้</p> วาณิช ฝาชัยภูมิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3668 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปัญหา ความต้องการ และแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบริหาร งานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3942 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัญหาการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2. ศึกษาความต้องการในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และ 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ศึกษาและเก็บข้อมูลการวิจัยในปี พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำนวน 123 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสถิติ t – test และ F -test แบบ One-way ANOVA</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัญหาในการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.13, <em>SD</em> = .26) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดเก็บเอกสาร (<em>M</em> = 4.24, <em>SD</em> = .37) รองลงมาคือ ด้านการยืมและการสืบค้นเอกสาร (<em>M</em> = 4.17, <em>SD</em> = .39) และ ด้านการผลิตเอกสาร (<em>M </em>= 4.13, <em>SD</em> = .43) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการทำลายเอกสาร (<em>M</em> = 4.02, <em>SD</em> = .43)</li> <li>ความต้องการในการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.19, <em>SD</em> = .17) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการผลิตเอกสาร (<em>M</em> = 4.31, <em>SD</em> = .31) รองลงมาคือ ด้านการจัดเก็บเอกสาร (<em>M</em> = 4.27, <em>SD</em> = .28) และด้านการยืมและการสืบค้นเอกสาร (<em>M</em> = 4.25, <em>SD</em> = .37) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการทำลายเอกสาร (<em>M</em> = 3.93, <em>SD</em> = .39)</li> <li>แนวทางในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานเอกสาร กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ควรมีการกำหนดระเบียบขั้นตอนการบริหารงานเอกสารอย่างเป็นระบบและชัดเจนเป็นมาตรฐานเดียวกันในการปฏิบัติ ควรจัดฝึกอบรมให้ความรู้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อเพิ่มทักษะในการบริหารงานเอกสารให้มากขึ้น</li> </ol> สถาพร ฐานวิเศษ, วราภรณ์ เลิศขามป้อม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3942 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจการให้บริการงานบริหารทรัพย์สินและจัดหารายได้ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3940 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในการให้บริการงานบริหารทรัพย์สินและจัดหารายได้ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2. เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้รับบริการที่มีต่อการให้บริการงานบริหารทรัพย์สินและจัดหารายได้ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรสายวิชาการและบุคลากรสายสนับสนุน จำนวน 186 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสถิติ t – test ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน F -test แบบ One-way ANOVA</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความพึงพอใจการให้บริการงานบริหารทรัพย์สินและจัดหารายได้ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.07, <em>SD</em> = .43) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านเจ้าหน้าที่/บุคลากร (<em>M</em> = 4.10, <em>SD</em> = .48) รองลงมาคือ คุณภาพการให้บริการ (<em>M</em> = 4.08, SD = .53) และ ด้านกระบวนการ/ขั้นตอนการให้บริการ (<em>M</em> 4.07, <em>SD</em> = .43) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (<em>M</em>4.04, <em>SD</em> = .50)</li> <li>การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของบุคลากรสายวิชาการและบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เกี่ยวกับความพึงพอใจการให้บริการงานบริหารทรัพย์สินและจัดหารายได้ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำแนกตามเพศ อายุ และประเภทบุคลากร โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</li> </ol> กัญญามาศ แซ่เจียว, วราภรณ์ เลิศขามป้อม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3940 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาองค์ความรู้เดิมด้านเศรษฐกิจชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ของตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3162 <p>แนวทางการพัฒนาองค์ความรู้เดิมด้านเศรษฐกิจชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ของตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาองค์ความรู้เดิมของฐานชุมชนด้านเศรษฐกิจชุมชน 2. เพื่อหาแนวทางพัฒนาทักษะใหม่เปลี่ยนฐานความคิดของชุมชนด้านเศรษฐกิจชุมชน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยกระบวนการอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research - PAR) กลุ่มเป้าหมายใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ผู้นำชุมชน ผู้ตัวแทนผู้นำกลุ่มทางสังคม และตัวแทนประชาชนชุมชนตำบลนาเสียว จำนวน 8 หมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 40 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามเพื่อวัดความรู้ ก่อน และหลังในการเข้ารับอบรม เครื่องมือในการวิจัย เชิงคุณภาพ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเพื่อสะท้อนมุมมองเชิงลึกในกระบวนการสนทนากลุ่ม (Focus Group) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเรียบเรียงเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลทดสอบก่อนการอบรมฐานองค์ความรู้เดิมจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคมด้านเศรษฐกิจชุมชน พบว่า ชุมชนมีฐานองค์ความรู้เดิมโดยรวมอยู่ระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชนอยู่ระดับปานกลาง รองลงมาด้านความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ระดับปานกลาง และด้านที่น้อยกว่าด้านอื่น ๆ คือด้านความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน</li> <li>แนวทางการพัฒนาทักษะใหม่ด้านเศรษฐกิจเปลี่ยนฐานความคิดของชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ประกอบไปด้วยแนวทางการพัฒนา 4 แนวทาง ดังนี้ 1) การพัฒนาเชิงฐานความคิดชุมชน 2) การพัฒนาทักษะใหม่ของชุมชน 3) การพัฒนาทักษะด้านการตลาด การสื่อสารดิจิทัล และการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ 4) การพัฒนาเชิงกระบวนการเรียนรู้เชิงพื้นที่</li> </ol> ศันสนีย์ แอมประชา, ณัฐปราย์ ชัยสินคุณานนต์, ธนกฤต แก้วพิลารมย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3162 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาฐานความคิดของชุมชนและวิถีชีวิตชุมชนบนความเปลี่ยนแปลง ทางสังคมของตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3160 <p>การศึกษาฐานความคิดของชุมชนและวิถีชีวิตชุมชนบนความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาฐานความคิดจากทุนทางสังคมและวิถีชีวิตชุมชนบนความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชน ของตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างวิธีการดำเนินการวิจัยในเชิงคุณภาพ และการวิจัยในเชิงปริมาณ ประชากรระยะที่ 1 โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ตัวแทนผู้นำชุมชนและประชาชน ตำบลนาเสียว 8 หมู่บ้าน จำนวน 12 คน ประชากรระยะที่ 2 ทั้งสิ้น 1,864 ครัวเรือน โดยได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 329 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเรียบเรียงเชิงพรรณนา </p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ฐานความคิดจากทุนทางสังคมและวิถีชีวิตชุมชนบนความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ อยู่ภายใต้การบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลนาเสียว ส่งผลให้แนวทางการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพและการพัฒนาท้องถิ่นมีลักษณะสอดคล้องคล้ายคลึงกันตามนโยบายแห่งรัฐ พื้นที่ชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ คนในชุมชนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทางการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ชุมชนมีประเพณีวัฒนธรรมชุมชนความเชื่อที่ค่อนข้างเข้มแข็งซึ่งเป็น<br />ศูนย์รวมจิตใจและสร้างความสามัคคี เมื่อกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเข้ามาชุมชนได้ปรับตัวจากเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรผสมผสาน มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อออนไลน์มาใช้มากขึ้น อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ของเครือญาติอ่อนแอลง การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเริ่มเลือนหาย ขณะเดียวกันผู้นำชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้นำตามตำแหน่งทางการมากกว่าผู้นำที่มีอำนาจบารมี จึงส่งผลให้การรวมพลังของคนในชุมชนลดลงซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน</li> <li>ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ มีหลายปัจจัย 1. ปัญหายาเสพติดในชุมชน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน 2. การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนลดน้อยลง 3. องค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเริ่มสูญหาย โดยเฉพาะ<br />องค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิตและการพึ่งพาทรัพยากรในท้องถิ่น 4. ความเข้มแข็งของผู้นำชุมชนลดลงเนื่องจากภาระหน้าที่ของผู้นำมีมากขึ้น จากปัญหากระแสความเปลี่ยนแปลงภายนอกที่รวดเร็วและหลากหลายที่ต้องเผชิญ และ 5. องค์ความรู้และการถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชนที่ขาดการจัดการความรู้และการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น</li> </ol> คัทลียา นาวิเศษ , วัชรินทร์ สุทธิศัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ทัศนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/j_ssp/article/view/3160 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700