วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid
<p><strong>วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online) <br />Dhammadhara Journal of Buddhist Ideology for Development (DJBID)<br /></strong>ISSN 2985-007X (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขต<br /></strong>เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิชาการให้กับคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจ เปิดรับบทความในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การบริหารการศึกษา การบริหารจัดการเชิงพุทธ พุทธจิตวิทยา รัฐประศาสนศาสตร์ รวมทั้งสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่ <br /></strong>เผยแพร่แบบออนไลน์ ราย 4 เดือน (3 ฉบับ/ปี) ดังนี้<br />ฉบับที่ 1 มกราคม–เมษายน<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม–สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 กันยายน–ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับพิจารณาการตีพิมพ์<br /></strong>1. <strong>บทความวิจัย</strong>:- 1) บทนำ 2) วัตถุประสงค์ 3) นิยามศัพท์เฉพาะ 4) วิธีดำเนินการวิจัย 5) ผลการวิจัย 6) อภิปรายผล 7) องค์ความรู้ใหม่ 8) บทสรุปและข้อเสนอแนะ<br />2. <strong>บทความวิชาการ</strong>:- 1) บทนำ 2) เนื้อหา 3) ความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษา 4) บทสรุป</p> <p><strong>กระบวนการตรวจสอบคุณภาพบทความ<br /></strong>1. บทความทุกบทความ ต้องผ่านการตรวจและประเมินจากกองบรรณาธิการ<br />2. บทความทุกบทความ ได้รับการตรวจและประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน<br />3. บทความทุกบทความ ได้รับการตรวจและประเมินแบบปกปิดรายชื่อ (Double Blinded)<br />4. บทความต้องไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารอื่นหรือกำลังอยู่ในระหว่างการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น ยกเว้นบทความแปลภาษาต่างประเทศที่ผู้เขียนและสำนักพิมพ์ยินยอมให้แปลเป็นภาษาไทย<br />5. บทความต้องไม่มีการคัดลอกมาจากผลงานของบุคคลอื่น</p> <p><span class="fontstyle0"><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์</strong><br /></span>วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (DJBID) มีอัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความทุกประเภท 3,000 บาท โดยผู้นิพนธ์จะต้องชำระค่าธรรมเนียมเมื่อบทความอยู่ในขั้นตอนของผู้ทรงคุณวุฒิประเมินคุณภาพบทความ </p> <p><strong>คำแนะนำการส่งบทความ</strong><br />รายละเอียดการ <a href="https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/information/authors">ส่งบทความ</a></p>
มูลนิธิสถาบันธรรมชัย
th-TH
วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2985-007X
-
บทบาทของสัมมาสติในการปรับเปลี่ยนค่านิยม พฤติกรรมการอวดรวยในสังคมบริโภคนิยม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3175
<p>การศึกษานี้วิเคราะห์บทบาทของสัมมาสติการปรับเปลี่ยนค่านิยมพฤติกรรมการอวดรวยในสังคมบริโภคนิยม พบว่า ปัญหาหลัก คือผลกระทบจากทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคมของ Leon Festinger ที่ส่งผลให้ 52% ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกกดดันและ 30% ของคนไทยเกิดหนี้เกินตัวจากการบริโภคฟุ่มเฟือย สาเหตุรากเหง้า มาจากการขาดสัมมาสติทำให้ไม่สามารถรู้เท่าทันการเปรียบเทียบทางสังคมและตกเป็นเหยื่อของความต้องการแสดงสถานะ แนวทางแก้ไข คือการฝึกสติปัฏฐาน 4 อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย กายานุปัสสนา (สังเกตร่างกายเพื่อจดจ่อปัจจุบัน), เวทนานุปัสสนา (รับรู้ความรู้สึกโดยไม่ตอบสนองด้วยการบริโภค), จิตตานุปัสสนา (รู้เท่าทันโลภ โกรธ หลง), และธัมมานุปัสสนา (เข้าใจอริยสัจ 4 เพื่อหาทางออกจากทุกข์) ข้อค้นพบสำคัญ คือสัมมาสติสามารถสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจจากการเปรียบเทียบทางสังคม โดยช่วยให้บุคคลมีความสุขที่ไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ลดการยึดติดภาพลักษณ์ และสามารถอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างสมดุลผ่านการปฏิบัติที่บูรณาการทั้งสี่ด้านในชีวิตประจำวัน</p>
วรัญญา สิริโพธิธนากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
129
152
-
พลิกโฉมการดูแลด้วยนวัตกรรม: เครื่องช่วยเหลือ เพื่อเสริมพลังผู้ดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/4646
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาความสำคัญของการดูแลร่างกายและจิตใจทั้งของผู้พิการและผู้ดูแล โดยอาศัยบทบาทของนวัตกรรมเครื่องช่วยเหลือในการดูแลผู้พิการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการทางการเคลื่อนไหวและผู้พิการติดเตียง ซึ่งมักประสบปัญหาสุขภาพ เช่น แผลกดทับ ภาวะแทรกซ้อนทางกาย เพื่อดูแลรักษาด้านร่างกายให้มีความสะดวก สบาย ผ่อนแรง ลดอุบัติเหตุ ในส่วนปัญหาทางจิตใจ ได้ประยุกต์ใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเรื่องหลักธรรมสำหรับผู้ป่วยไข้และผู้พยาบาล และหลักธรรมในการดำเนินชีวิต เพื่อดูแลรักษาจิตใจให้มีความเข้มแข็งสามารถเผชิญทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกายได้อย่างมีสติ <br />ผลการศึกษาพบว่า การนำหลักธรรม คือ 1) คุณสมบัติของผู้ป่วยไข้ที่พยาบาลได้ยากและพยาบาลได้ง่าย 2) คุณสมบัติของผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับพยาบาลคนป่วยไข้และผู้ที่เหมาะสำหรับทำการพยาบาลคนป่วยไข้ 3) หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ได้แก่ เรื่องการบรรลุธรรม เรื่องกฎแห่งธรรม เรื่องเป้าหมายชีวิต มาประยุกต์ใช้ร่วมกับนวัตกรรมเพื่อการดูแลคนพิการ เป็นเครื่องมือสนับสนุนการดูแลแบบองค์รวมได้อย่างดี เป็นการยกระดับระบบการดูแลผู้พิการอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความเท่าเทียมทางสังคม เรียกแนวคิดนี้ว่า การดูแลผู้พิการแบบเสริมพลังเพื่อการดูแลที่ยั่งยืนมีองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ 1) ผู้พิการ คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 2) ผู้ดูแล คือ การเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ 3) กระบวนการการดูแลแบบเสริมพลัง คือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และคุณธรรม</p>
ศรีพยัคฆ์ สิริวิญฺญู
ธนวิชญ์ กิจเดช
พระรัตนมุนี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
153
177
-
อุปลักษณ์เกี่ยวกับธรรมะ ใน TikTok ช่อง “ข้อคิดดี ๆ กับพลตรีนเรศร์”
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3617
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุปลักษณ์เกี่ยวกับธรรมะใน TikTok ช่อง “ข้อคิดดี ๆ กับพลตรีนเรศร์” เก็บรวบรวมข้อมูลใน TikTok ช่อง “ข้อคิดดี ๆ กับพลตรีนเรศร์” ที่เผยแพร่ระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม 2565 – 21 พฤศจิกายน 2567 จำนวน 1,310 คลิป โดยเลือกแบบเจาะจงเฉพาะคลิปคำกลอนที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอน มียอดวิว จำนวน 10,000 ครั้งขึ้นไป จำนวน 127 คลิป 189 คำกลอน และนำข้อมูลทั้งหมด มาวิเคราะห์อุปลักษณ์เกี่ยวกับธรรมะตามประเด็นที่กำหนดไว้<br />ผลการศึกษาพบว่า การใช้อุปลักษณ์เกี่ยวกับธรรมะ 11 มโนอุปลักษณ์ ตามลำดับที่พบ ได้แก่ 1. ธรรมะ คือ การปลดพันธนาการ พบ 108 คำกลอน 2. ธรรมะ คือ การปกครอง พบ 29 คำกลอน 3. ธรรมะ คือ การทำสงคราม พบ 13 คำกลอน 4. ธรรมะ คือ การรักษาโรค พบ 9 คำกลอน 5. ธรรมะ คือ การดับความร้อน พบ 7 คำกลอน 6. ธรรมะ คือ การทำความสะอาด พบ 7 คำกลอน 7. ธรรมะ คือ การรับประทานอาหาร พบ 6 คำกลอน 8. ธรรมะ คือ การกำจัดความมืด พบ 5 คำกลอน 9. ธรรมะ คือ การทำเกษตรกรรม พบ 3 คำกลอน 10. ธรรมะ คือ การทำบุญพบ 1 คำกลอน 11. ธรรมะ คือ การทำงาน พบ 1 คำกลอน ข้อมูลทั้ง 189 คำกลอน เป็นการสอนคุณธรรม และจริยธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาที่มีความหมายโดยนัย ผู้รับสารจึงต้องตีความเพื่อให้เข้าใจสาร การใช้อุปลักษณ์จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยอธิบายธรรมะที่เป็นนามธรรมให้เข้าใจง่ายขึ้น</p>
รุ่งรัตน์ ทองสกุล
จุฑารัตน์ อ่อนสุวรรณ
สุริยา ทองคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
1
22
-
ทัศนคติและการรับรู้ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต่อการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3593
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทัศนคติต่อการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2) เพื่อศึกษาการรับรู้การทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 397 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ทัศนคติที่มีต่อการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.11) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ท่านเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำให้ชาติเสียหาย (x̄ = 4.01) 2) การรับรู้ที่มีต่อการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.58) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ท่านเห็นว่าการแจ้งเบาะแสการทุจริตของภาคประชาชนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในความเป็นจริงเพราะประชาชนยังต้องพึ่งพาในรูปแบบอุปถัมภ์อยู่ (x̄ = 3.72) ข้อเสนอแนะของนิสิตต่อการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในสังคม เห็นว่า 1) มหาวิทยาลัยควรบรรจุเนื้อหาหลักสูตรภาคบังคับให้นิสิตนักศึกษามีความรู้ถึงผลของการทุจริตคอร์รัปชันและ 2) ผู้บริหารมหาวิทยาลัยควรร่วมมือกับคณะรัฐศาสตร์และคณะนิติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นคณะที่มีหลักสูตรวิชาสอนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันและข้อกฎหมาย</p>
พุฒิพงษ์ แนมขุนทด
กุลวดี แสงจันทร์
วรวุฒิ จำลองนาค
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
23
42
-
การบริหารงานบุคคลที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ของครูในสถานศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 6 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3669
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารงานบุคคล 2) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู 3) การบริหารงานบุคคลที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 6 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2567 ศึกษาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน ได้จำนวน 186 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานบุคคล ในสถานศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา 6 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนาบุคลากร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการธำรงรักษา ส่วนด้านการให้ค่าตอบแทน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา 6 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ส่วนด้านความรับผิดชอบ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) การบริหารงานบุคคลส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 6 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยด้านการธำรงรักษา ด้านการสรรหาบุคลากร ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการให้พ้นจากงาน และ ด้านการให้ค่าตอบแทน สามารถทำนายแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูได้ร้อยละ 90.90</p>
วิลาสินี รื่นพานิช
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
วิเชียร อินทรสมพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
43
69
-
การบริหารตามวงจรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหาร และการจัดการสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3748
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารตามวงจรคุณภาพ 2) ระดับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการสถานศึกษา 3) การบริหารตามวงจรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ปีการศึกษา 2567 ศึกษาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน ได้จำนวน 340 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารตามวงจรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการปฏิบัติตามแผนงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการวางแผน ส่วนการตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจสถานศึกษา ส่วนด้านการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) การบริหารตามวงจรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถพยากรณ์การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการสถานศึกษา ได้ร้อยละ 47.10 ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการทำงานเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากนโยบายและข้อกำหนดจากหน่วยงานต้นสังกัดที่เน้นการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบ รวมทั้งสถานศึกษามีระบบการติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลการดำเนินงานอย่างเข้มงวด</p>
วรัชยา แสนชูปา
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
วิเชียร อินทรสมพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
70
89
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3737
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร 2) ระดับสมรรถนะหลักของครู 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ปีการศึกษา 2567 ศึกษาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกน ได้จำนวน 340 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านความยืดหยุ่น มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านความสามารถในการแก้ปัญหามีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ระดับสมรรถนะหลักของครู โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการทำงานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารส่งผลต่อสมรรถนะหลักของครูในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เรียงตามลำดับอิทธิพลจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความสามารถในการแก้ปัญหาและด้านวิสัยทัศน์ สามารถพยากรณ์สมรรถนะหลักของครู ได้ร้อยละ 39.70 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีวิสัยทัศน์ที่เด่นชัดอยู่ในความคิด และมีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างมีเหมาะสม มีอิทธิพลต่อการสร้างแรงบันดาลใจให้ครูมุ่งมั่นปฏิบัติงานสู่ผลสัมฤทธิ์ที่ได้วางไว้อย่างเต็มสมรรถนะ โดยส่งเสริมให้ครูวางแผนการปฏิบัติงานและการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน ถูกต้องและครบถ้วน</p>
มิลินภรณ์ เขียวสวาง
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
วิเชียร อินทรสมพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
90
109
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชน: กรณีศึกษา ชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/djbid/article/view/3710
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยด้านความร่วมมือและปัจจัยด้านเศรษฐกิจชุมชนที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ด้วยวิธีการวิจัยแบบพหุวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนตำบล เกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา จำนวน 359 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า การตกลงยอมรับส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (β2 = .174, p < .01) การดำเนินการส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (β3 = .475, p < .001) การประเมินส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (β4 = .145, p < .01) และ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (β5 = .114, p < .05) ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานการวิจัย โดยตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายความเข้มแข็งของชุมชนได้ร้อยละ 29 (R2 = .290) ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการส่งเสริมกระบวนการทำงานในชุมชนให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ</p>
นุชนารถ คงมณี
จิรวัฒน์ เพ็ชรกาศ
วิศรุตา ทองแกมแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพุทธพัฒนศาสตร์ศึกษา (Online)
2025-12-05
2025-12-05
3 3 (9)
110
128