วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP <p> <strong> วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่</strong> ISSN 2822-1095 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยสถาบันส่งเสริมและพัฒนาวิชาการด็อกเตอร์เกษ ประเทศไทย จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (DOIs) ได้รับการระบุในฐานข้อมูล DataCite (https://search.datacite.org/works?query=DR.KET)</p> <p>-วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p> สถาบันส่งเสริมและพัฒนาวิชาการด็อกเตอร์เกษ เลขที่ 1 หมู่ 12 ตำบลเหล่าต่างคำ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 43120 th-TH วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ ศึกษาแนวคิดและหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมนี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4585 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสง์เพื่อศึกษาแนวคิดและหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมนี พบว่า แนวคิดและหลักการ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมนี เป็นไปตามหลักพุทธโอวาท คือแสดงธรรมเหมาะสมกาลเทศะ มีเหตุผล ด้วยจิตเมตตา โดยมุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ลาภสักการะ ไม่ยกตนข่มท่านและไม่เสียดสีขู่เข็ญผู้อื่น เป้าหมายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมนี เป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล ความสุขแก่บุคคล มุ่งน้นพัฒนาศักยภาพของบุคคลในการดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางในการชี้นำบุคคลให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เป็นศูนย์รวมจิตใจและกิจกรรมของชาวพุทธในประเทศเยอรมนี โดยมีวิธีการหลากหลาย ได้แก่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ตั้ง หรือการจัดกิจกรรมภายในวัด เช่น การจัดกิจกรรม โครงการปฏิบัติธรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาและวันสำคัญของชาติ การเทศน์ การปาฐกถา การจัดสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนานอกที่ตั้ง เช่น การสอน บรรยายธรรมในสถานศึกษาหรือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่อยู่นอกวัด การใช้เทคโนโลยี สื่อสารมวลชน บรรยายธรรมทางวิทยุโทรทัศน์หรือการจัดกิจกรรมทางศาสนานอกวัด การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบเครือข่าย เช่น การจัดกิจกรรมทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม การส่งต่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสร้างเครือข่ายชาวพุทธฝ่ายฆราวาสและพระสงฆ์</p> จิรารักษ์ อินทนพิชิต สมชัย ศรีนอก พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 1 18 ธรรมเพื่อการดำเนินชีวิต https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5107 <p>หนังสือ “ธรรมเพื่อการดำเนินชีวิต” โดย นายณรงค์ ปัดแก้ว ได้เรียบเรียงขึ้นสำหรับ<br />ใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา <br />คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง <br />โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บรรยายเสริมในรายวิชา พุทธปรัชญาเถรวาท และให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาเป็นบางเรื่อง สำหรับเนื้อหาสาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย ความหมาย ความสำคัญของธรรม ชีวิตคืออะไร ชีวิตเป็นอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร การนำธรรมเพื่อพัฒนาตนเอง การศึกษา เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง เนื้อหาส่วนใหญ่จเป็นการสะท้อนให้ผู้อ่านให้มองเห็นว่าหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุด สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริง ในการดำเนินชีวิตทุกมิติทั้งส่วนบุคคล ชุมชน และสังคม ที่สำคัญคือ มีความปารถนาจะให้หนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์ทางวิชาการให้กว้างยิ่งขึ้น ดังนั้นหนังสือที่นำมาวิจารณ์ในครั้งนี้ เขียนโดย นายณรงค์ ปัดแก้ว บทวิจารณ์หนังสือนี้ คงอำนวยประโยชน์เชิงวิชาการ แก่นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้ที่สนใจ สืบไป</p> <p>สำหรับหนังสือเล่มนี้ พิมพ์ครั้งแรก รูปเล่มหนังสือมีขนาด 115X250X15 มม. <br />น้ำหนัก 700 กรัม ชนิดกระดาษเป็นกระดาษถนอมสายตา จัดพิมพ์โดย หจก.เมืองแพร่การพิมพ์ ปีที่พิมพ์จำหน่าย พ.ศ. 2563 จัดพิมพ์จำนวน 500 เล่ม เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้<br />มีจำนวนทั้งหมด 8 บท จำนวน 244 หน้า มีลักษณะรูปเล่ม เป็นรูปท้องฟ้า มีต้นภูเขาไร่นา <br />และมีบ้านแบบชนบทมุงด้วยหญ้าคาเป็นแบบธรรมชาติ ทำให้รูปเล่มดูเด่น ตรงบริเวณหน้าปกด้านบนมีข้อความชื่อหนังสือเขียนเป็นอักษรตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า “ธรรมเพื่อการดำเนินชีวิต” และมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า The Living Principle โดยด้านล่างของปกหน้า มีตรามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นรูปวงกลมสีชมพู มีข้อความตัวหนังสือสีดำเขียนว่า นายณรงค์ ปัดแก้ว มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง ส่วนปกด้านหลัง จะเป็นโทนสีฟ้าและสีเขียวเป็นรูปท้องฟ้า มีต้นไม้และนาข้าวเป็นสีเขียว ตรงกลางเป็นรูปพระออกรับบิณฑบาต สำหรับข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ คือ นายณรงค์ ปัดแก้ว, ธรรมเพื่อการดำเนินชีวิต, แพร่: หจก. เมืองแพร่การพิมพ์, 2563. ISBN : 778-616-300-650-9</p> พระครูวิชิตกิจจาภิรมย์ (นิคม สอนสน) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 19 34 A STUDY ON THE IMPACT OF FLIPPED CLASSROOM TEACHING MODEL ON THE COMPREHENSIVE LANGUAGE APPLICATION ABILITY OF STUDENTS IN THE COLLEGE ENGLISH COURSE AT GUANGXI UNIVERSITY https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5013 <p>The objectives of this study are: 1) to investigate the impact of the flipped classroom teaching model on students’ comprehensive language application ability in a College English course at Guangxi University; 2) to examine the effectiveness of pre-class, in-class, and post-class instructional stages in improving English proficiency; 3) to identify moderating factors such as learner autonomy, feedback timeliness, and technological conditions; and 4) to provide pedagogical recommendations for optimizing the flipped classroom model in higher education English instruction. This research adopts a quasi-experimental design. The population consists of undergraduate students majoring in early childhood education at Guangxi University, and the sample comprises 80 participants, divided equally into an experimental group (flipped instruction) and a control group (traditional instruction) selected through purposive sampling. Data were collected using standardized language proficiency tests, self-assessment scales, and student questionnaires, and analyzed through descriptive statistics, paired-sample t-tests, and independent-sample t-tests.</p> <p> The research results show that: 1) students in the flipped classroom significantly outperformed those in traditional instruction in post-test results; 2) the flipped approach enhanced reading, listening, and writing abilities through active engagement and feedback; 3) learner autonomy and teacher feedback positively influenced performance; and 4) excessive pre-class workload and unstable technology negatively affected outcomes. The study concludes that the flipped classroom model effectively enhances comprehensive English proficiency by promoting student-centered, interactive, and feedback-driven learning. The recommended strategies include improving technological support, designing balanced pre-class tasks, and strengthening teacher–student feedback mechanisms to maximize instructional effectiveness.</p> Hao Li ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 35 47 เศรษฐกิจพอเพียง : การวิเคราะห์เชิงแนวคิดและการประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4563 <p>บทความวิชาการนี้ ศึกษาถึงเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและพัฒนาสังคมอย่างสมดุลและยั่งยืน ปรัชญานี้ประกอบด้วยหลักการสำคัญสามประการ ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน พร้อมด้วยเงื่อนไขด้านความรู้และคุณธรรม บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการประยุกต์ใช้ในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับแนวคิดการพัฒนาอื่น ๆ อาทิ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีศักยภาพในการเป็นแนวทางเสริมสร้างความสมดุลและความเข้มแข็งในทุกระดับ อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสม</p> พระครูวินัยธรสุเมธี สิริปญฺโญ (โสจันทร์) พระมหาเตวิช โชติญาโณ พระมหาฉัตรชัย ธมฺมวรเมธี (ทันบาล) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 48 60 ศาสตร์พลังตัวเลข: ความเชื่อและพฤติกรรมของคนไทย ในการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4609 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความเชื่อเรื่องอิทธิพลของศาสตร์พลังตัวเลขในการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือ 2) วิเคราะห์ความเชื่อและพฤติกรรมการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือตามความเชื่อเรื่องศาสตร์พลังตัวเลขของคนไทย และ 3) เสนอแนวทางการใช้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์พลังตัวเลขในการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ คือ ระยะที่ 1 การสำรวจความเชื่อของคนไทยจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ที่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือเป็นเลขมงคล จำนวน 278 คน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ด้วยค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระยะที่ 2 วิเคราะห์ความเชื่อและพฤติกรรมการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือด้วยการดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 13 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าในระยะที่ 1 ความเชื่อเรื่องอิทธิพลของศาสตร์พลังตัวเลขโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านทัศนคติมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือด้านความเชื่อ และด้านพฤติกรรมตามลำดับ และในระยะที่ 2 พบว่า 1) ด้านความเชื่อของคนไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์พลังตัวเลข เป็นลักษณะของความเชื่อในฐานะเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ความเชื่อที่มาจากคนรอบตัวและสื่อออนไลน์ ความเชื่อที่มาจากความหมายของเลขมงคล ความเชื่อกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต 2) พฤติกรรมการเลือกเบอร์โทรศัพท์มือถือ มีขั้นตอนตั้งแต่การรับรู้และแรงจูงใจ การสืบค้นข้อมูลและสร้างความเข้าใจ การคัดเลือกและการตัดสินใจซื้อ และการประเมินผลหลังใช้งาน และ 3) ด้านแนวทางการใช้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์พลังตัวเลข พิจารณาได้จาก 4 มิติหลัก คือ ผู้ใช้ สังคมและชุมชน การกำกับดูแลและการคุ้มครองผู้บริโภค และการสร้างสมดุลระหว่างความเชื่อและเหตุผล</p> นิติกฤตย์ กิตติศรีวรนันท์ ธมนณภัค มาทรัพย์ ประภาวรรณ ตระกูลเกษมสุข ตวงทอง นุกูลกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 61 83 การป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/3831 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบการการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 3) เพื่อเสนอแนะแนวการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน โดยแจกแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน และทดสอบสมมติฐาน t-test และ F-test และใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักทั้ง 5 ท่าน โดยวิเคราะห์จัดประเภทของข้อมูล และสรุปเป็นข้อความบรรยาย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านโดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านงานอำนวยการ รองลงมาคือ ด้านงานสืบสวนสอบสวน ตามลำดับ 2) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ประชาชนที่มีระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็น ต่อการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยรวมทั้ง 4 ด้าน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดตามหลักอริยสัจ 4 ของฝ่ายปกครอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี คือ การทำหน้าที่ในการป้องกันทั้งยาเสพติด และการเกิดอาชญากรรม <br />เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ออกตระเวณในที่เปลี่ยว ตึกร้างบ้าง <br />ให้สม่ำเสมอ ด้านงานป้องกันปราบปราม คือ ควรใส่ใจและทำหน้าที่ในการป้องกันทั้งยาเสพติด และการเกิดอาชญากรรม เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คอยออกตระเวรในที่เปลี่ยว ตึกร้างบ้าง ให้สม่ำเสมอ ด้านงานสืบสวนสอบสวน คือ สอบสวนอย่างโปร่งใส ผู้บังคับบัญชาต้องคอยกวดขันและติดตามคดีหรือให้มีการรายงานเป็นประจำ การสอบสวนต้องให้ความเป็นธรรมและเป็นกลางทั้งสองฝ่าย ด้านงานบำบัดรักษา คือ การบำบัด และการทำค่ายยาเสพติด รับสมัคร ลูกหลานที่ติดยาอยากลับตัวกลับใจ เลิกยา โดยไม่มีคดีติดตัว</p> สาธิต แพรศิริ เกษฎา ผาทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 84 98 RESEARCH ON MARKETING STRATEGIES OF TRENDY TOY ENTERPRISES BASED ON THE AHP–SWOT ANALYTICAL MODEL: A CASE STUDY OF COMPANY A https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5099 <p>The objectives of this study are: 1) To identify and quantify A Company’s internal strengths and weaknesses and external opportunities and threats that influence its marketing strategy, 2) To determine the relative importance (weights) of these SWOT factors using the AHP–SWOT analytical model, 3) To construct a strategic coordinate system and identify A Company’s optimal marketing-strategy orientation, and 4) To develop appropriate marketing strategies and supporting measures that align with the company’s core challenges, including IP dependence, financial pressure, regulatory risk, and competition from Pop Mart. This research adopts a quantitative design. The population consists of experts and practitioners in the trendy-toy and trading-card industry, while the sample comprises 50 experts from five professional fields, selected through purposive sampling. Data were collected using a structured AHP questionnaire with a seven-point pairwise comparison scale, and analyzed through hierarchical weight calculation and consistency verification to derive factor weights and composite intensity values. Statistical techniques employed include descriptive analysis, AHP hierarchical weighting, and SWOT strength synthesis to determine the company’s strategic orientation and corresponding marketing solutions.</p> <p> The research results show that: 1) A Company’s marketing strategy is influenced by multiple internal and external factors. Its main internal strengths include efficient production systems, strong supply chains, and broad distribution networks, while weaknesses involve high IP dependence, weak brand communication, and product homogenization, 2) The AHP–SWOT analysis indicates that external threats hold the greatest weight, followed by internal weaknesses, external opportunities, and internal strengths. Key influential factors include Pop Mart’s monopoly potential, regulatory risk, and financial pressure, 3) The strategic coordinate model identifies the WT (conservative–defensive) strategy as the most suitable, emphasizing risk reduction, cost control, and operational stability, and 4) The recommended strategies include compliance-oriented product adjustments, cost optimization through selective channel contraction, and defensive competition focusing on user retention and financial discipline.</p> Ruolin Gao ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 99 114 ธรรมะสบายใจ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5106 <p>หนังสือเรื่อง “ธรรมะสบายใจ” มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญ ที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ ท่าน ว วชิรเมธี ได้ถ่ายทอดความรู้ผ่านท้อยคำที่เข้าใจง่ายและลึกซึ้ง จำนนวน 7 ภาค 233 หน้า เบื้องต้นกล่าวถึงการใช้ชีวิต ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ความเครียด และความสับสน ผู้คนมากมายต่างพยายามแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความรัก หรือความสำเร็จ แต่เมื่อได้มาแล้วกลับพบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ใจสงบหรืออิ่มเอมอย่างแท้จริง หนังสือ ธรรมะสบายใจ ของท่าน ว. วชิรเมธี จึงเปรียบเสมือนแสงสว่าง เล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ชี้ทางให้ผู้คนได้ย้อนกลับมามองข้างในตนเอง เพื่อค้นพบความสุขที่แท้จริงผ่าน “ธรรมะที่ใช้ได้จริง”หนังสือเล่มนี้ไม่ได้พูดถึงธรรมะด้วยถ้อยคำที่สูงส่งหรือไกลตัว แต่เล่าเรื่องธรรมะในชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายและอบอุ่น ผ่านบทสนทนา เรื่องเล่า และข้อคิดที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์ของผู้เขียน ท่าน ว. วชิรเมธี แสดงให้เห็นว่า แม้แต่กิจวัตรเล็ก ๆ อย่างการตื่นนอน ล้างหน้า หรือเดินทางไปทำงาน ก็สามารถเป็นโอกาสในการฝึกสติและความเมตตาได้</p> <p> เนื้อหาของหนังสือแบ่งออกเป็นภาค ๆ ที่สะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต เช่น การปล่อยวางความทุกข์ใจ การใช้สติในยามโกรธ ความหมายของการมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่การมองโลกในแง่ดีในยามเจ็บป่วย ทุกบทมุ่งเน้นให้ผู้อ่าน “เข้าใจ” ธรรมะ มากกว่าจะ “จำ” ธรรมะ และนำไปใช้ได้จริง ถ้าเราใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือในการมองโลกอย่างเข้าใจและไม่ยึดติด เราจะสามารถอยู่ร่วมกับทุกสถานการณ์ได้อย่างสงบเย็นในปัจจุบันที่โลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีและวิถีชีวิตที่เร่งรีบได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาทางอารมณ์ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน หลายคนพยายามแสวงหาวิธีคลายทุกข์ บ้างหันไปหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การท่องเที่ยว การดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้กระทั่งการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องหลีกหนีจากความเป็นจริง แต่ทว่า ความสงบสุขที่แท้จริงนั้นอาจไม่ได้อยู่ที่การเสพหรือหนี หากแต่อยู่ที่การ “เข้าใจ” และ “ยอมรับ” ความเป็นจริงอย่างมีสติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในคำสอนของพระพุทธศาสนา หรือที่เราเรียกว่า “ธรรมะ”ไม่ได้เป็นเพียงหลักธรรมที่สูงส่งสำหรับนักบวชเท่านั้น แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ธรรมะช่วยให้เรารู้จักวางใจให้เป็น ลดความยึดติดในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และฝึกสติในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าการเปิดใจรับฟังธรรมะแม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงภายในที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อใจสงบ มุมมองต่อโลกก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ดังนั้น ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่เกิดจาก “ใจที่สบาย” ธรรมะในความเข้าใจของหลายคนอาจเป็นเพียงหลักคำสอนทางศาสนาที่มีไว้สำหรับผู้สูงอายุหรือพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ธรรมะเป็นสิ่งที่สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคน และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างลึกซึ้ง ธรรมะไม่เพียงสอนให้เราทำดี ละเว้นความชั่ว แต่ยังเป็นเครื่องมือช่วยให้เราจัดการกับความรู้สึกนึกคิดของตนเองอย่างมีสติ ช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้งสุขและทุกข์ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สร้างความเครียด เช่น ความล้มเหลวในชีวิต การสูญเสีย หรือแม้แต่ความผิดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ธรรมะสามารถเป็นที่พึ่งทางใจที่ช่วยให้เรายอมรับและก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างมีความเข้าใจ หลักธรรมอย่าง “อริยสัจ 4” ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ช่วยให้เราเห็นที่มาของความทุกข์และหนทางสู่ความดับทุกข์ได้อย่างเป็นระบบ ขณะที่ “หลักอิทธิบาท 4” ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ก็ช่วยให้เราตั้งเป้าหมายชีวิตด้วยความเพียรและสติเสมอ สำหรับข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ คือ ว. วชิรเมเธี, ธรรมะสบายใจ, พิมพ์ครั้งที่ 16, กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด, 2550. ISBN : 974-9985-29-x</p> พระครูวินัยธรยุทธพงษ์ อาภากโร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 115 129 การเรียนตามหลักไตรสิกขาเพื่อเสริมสร้างวินัยในตนเอง https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4564 <p>การเสริมสร้างวินัยในตนเองถือเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนามนุษย์และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีคุณภาพ หลักไตรสิกขาในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา เป็นกระบวนการฝึกฝนที่มีระบบและครอบคลุมทั้งด้านกาย วาจา และใจ บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างหลักไตรสิกขากับการเสริมสร้างวินัยในตนเอง วิเคราะห์การประยุกต์ใช้ในระดับบุคคล สถานศึกษา และสังคม พร้อมเสนอแนะแนวทางการบูรณาการในกระบวนการเรียนรู้ โดยบทความชี้ให้เห็นว่า ไตรสิกขาสามารถเป็นฐานรากของการสร้างวินัยในตนเองที่ยั่งยืน ทั้งในด้านพฤติกรรม ความคิด และการตัดสินใจอย่าง มีจริยธรรม</p> พระครูวินัยธรสุเมธี สิริปญฺโญ (โสจันทร์) พระมหาเตวิช โชติญาโณ พระมหาฉัตรชัย ธมฺมวรเมธี (ทันบาล) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 130 141 การจัดการนวัตกรรมบริการที่ส่งผลต่อความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดตาก https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4942 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการจัดการนวัตกรรมบริการของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก 2) ศึกษาระดับความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก 3) วิเคราะห์การจัดการนวัตกรรมบริการที่ส่งผลต่อความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดตาก จำนวน 330 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ Multiple Regression Analysis โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยที่พบว่า</p> <p>1) ระดับการจัดการนวัตกรรมบริการของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean = 3.65, SD = 0.844) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านแนวคิดบริการใหม่ ด้านระบบการส่งมอบบริการ ด้านเทคโนโลยีสนับสนุน และด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า</p> <p>2) ระดับความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean = 3.67, SD = 0.869) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านต้นทุน ด้านความแตกต่าง ด้านการตอบสนองลูกค้า และด้านคุณภาพ 3) การวิเคราะห์การจัดการนวัตกรรมบริการที่ส่งผลต่อความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก พบว่า ด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าด้านระบบการส่งมอบบริการ และด้านเทคโนโลยีสนับสนุน ส่งผลต่อความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดตาก ขณะที่ด้านแนวคิดบริการใหม่ ไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 </p> พรรณทิมา วรรณสุทธิ์ ศักดิ์นรินทร์ เสือสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 142 160 การพัฒนาท้องถิ่นตามแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5104 <p>บทความนี้มุ่งอธิบายแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นของไทยตามแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นกรอบคิดสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน โดยมีความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน การศึกษาครั้งนี้นำเสนอแนวคิด ทฤษฎี และกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น เช่น การวางแผนพัฒนาอย่างรอบคอบ การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน การจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และการสร้างผู้นำที่มีคุณธรรมและจิตสาธารณะ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่อิงหลักพอเพียงช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ ทั้งนี้บทความได้เสนอข้อแนะนำเชิงนโยบายเพื่อบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในแผนพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศในระยะยาว</p> พระสมชัย สุทฺธจิตฺโต (มงคลมุทิตา) วีระพงศ์ เกียรติไพรยศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 161 174 A STUDY ON THE IMPACT OF DIGITAL HUMAN RESOURCE MANAGEMENT ON WORKPLACE ANXIETY https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5152 <p>The objectives of this study are: 1) to examine the impact of digital human resource management (DHRM) on employees’ workplace anxiety, 2) to analyze the mediating role of emotional exhaustion in this relationship, 3) to explore the moderating role of work engagement in reducing the negative effects of DHRM on anxiety, and 4) to provide practical recommendations for improving digital management systems and employee well-being. This research adopts a quantitative survey design. The population consists of employees from ten enterprises in China, and the sample comprises 500 participants selected through simple random sampling. Data were collected using a structured questionnaire adapted from validated measurement scales and analyzed through descriptive statistics, difference tests, and regression analysis.</p> <p> The research results show that: 1) DHRM significantly increases workplace anxiety by reducing employees’ autonomy and creating constant ability comparison; 2) emotional exhaustion partially mediates this relationship by transmitting the psychological strain caused by digital pressure; 3) work engagement negatively moderates the effect of DHRM on anxiety, helping employees reinterpret digital tools as opportunities for improvement; and 4) employees with high engagement experience less emotional strain under digital management. The study concludes that DHRM exerts both direct and indirect effects on workplace anxiety through emotional exhaustion, while work engagement acts as a psychological buffer. The recommended strategies include optimizing system transparency, enhancing digital literacy training, establishing stress monitoring mechanisms, and promoting engagement-driven management practices to balance efficiency and employee well-being.</p> Yongfei Ming ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 175 189 อิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย บริษัท พิทักษ์ทรัพย์สินเชียงใหม่ จำกัด https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5023 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย บริษัท พิทักษ์ทรัพย์สินเชียงใหม่ จำกัด โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณในรูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจแบบตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานรักษาความปลอดภัยจำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.793 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าคุณภาพชีวิตในการทำงานทั้งแปดด้าน ได้แก่ ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย โอกาสในการพัฒนาและเติบโต การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ความมั่นคงในการทำงาน ความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน การสมดุลระหว่างชีวิตและงาน และความหมายของงาน มีอิทธิพลเชิงบวกและอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย โดยแบบจำลองสามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิภาพในการทำงานได้ร้อยละ 65.2 (R² = 0.652, Sig. = 0.000) ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในการทำงานในทุกมิติไม่เพียงช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความพึงพอใจในการทำงาน แต่ยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพและความผูกพันต่อองค์กรในระยะยาว ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนานโยบายบริหารทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจบริการด้านความปลอดภัยอย่างยั่งยืน </p> นิรันดร์ มหาวรรณ์ พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 190 209 ศึกษาการพัฒนากลยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4587 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนากลยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พบว่า พระพุทธสาวกถือเป็นกําลังสําคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อนําหลักธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ให้เข้าถึงประชาชน และกลยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในปัจจุบันนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังที่สงสัยข้อธรรมได้ชักถาม และอธิบายให้ผู้ฟังคลายความสงสัยได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างแจ่มแจ้ง เป็นการประเมินผลไปในตัวตามความก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ มีปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ คือ ไหวพริบในการโต้ตอบ นอกจากนี้ยังมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศในทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ล้วนประสบกับสถานการณ์คล้ายกัน เช่น สภาพภูมิอากาศ กฎหมายหรือกฎระเบียบของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกับประเทศไทย ทำให้การสร้างวัด พระอุโบสถ การบำรุงรักษาและการซ่อมแซมเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ในประเทศซึ่งมิใช่เมืองพุทธแต่เดิมก็จะประสบปัญหาในทางปฏิบัติ มากน้อยตามสถานการณ์ของประเทศนั้น ๆ เช่น บางประเทศห้ามพระบิณฑบาต มีการกีดกันลัทธิความเชื่ออื่น ๆ การดำเนินกิจกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากคนที่อยู่ในชุมชนนั้น ๆ เสียก่อน สภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะประเทศในแถบหนาว ทำให้เกิดปัญหาการปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศ ส่งผลถึงการแต่งกายว่าสามารถปรับเปลี่ยนได้บ้างหรือไม่ ปัญหาของพระธรรมทูตผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา เช่น ทักษะการสื่อสารภาษาประจำท้องถิ่น และการไม่เข้าใจในวัฒนธรรมในพื้นที่นั้น ๆ</p> จิรารักษ์ อินทนพิชิต สมชัย ศรีนอก พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 210 228 อิทธิพลของการตลาดเนื้อหาต่อความไว้วางใจและการซื้อซ้ำ ของผู้บริโภคออนไลน์ ในจังหวัดตาก https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4958 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของการตลาดเนื้อหา ความไว้วางใจและการซื้อซ้ำของผู้บริโภคออนไลน์ ในจังหวัดตาก 2) วิเคราะห์อิทธิพลของการตลาดเนื้อหาและความไว้วางใจที่มีต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภคออนไลน์ในจังหวัดตาก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ในจังหวัดตาก จำนวน 300 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ เพื่อทดสอบอิทธิพลของตัวแปรอิสระ</p> <p>ผลการวิจัยที่พบว่า</p> <p>1) ระดับความคิดเห็นของการตลาดเนื้อหา ความไว้วางใจและการซื้อซ้ำของผู้บริโภคออนไลน์ ในจังหวัดตาก พบว่า การตลาดเนื้อหาอยู่ในระดับ มาก ( = 4.21, S.D. = 0.57) ความไว้วางใจต่อแบรนด์ออนไลน์ อยู่ในระดับมาก ( = 4.19, S.D. = 0.61) พฤติกรรมการซื้อซ้ำโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.08, S.D. = 0.65)</p> <p>2) วิเคราะห์อิทธิพลของการตลาดเนื้อหาและความไว้วางใจที่มีต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภคออนไลน์ในจังหวัดตาก พบว่า การตลาดเนื้อหา มีอิทธิพลเชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ต่อ ความไว้วางใจของผู้บริโภค (β = 0.33, Sig. = 0.000) การตลาดเนื้อหา มีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำ (β = 0.34, Sig. = 0.000) ความไว้วางใจของผู้บริโภค มีอิทธิพลเชิงบวกสูงสุดต่อ พฤติกรรมการซื้อซ้ำ (β = 0.49, Sig. = 0.000) โดยโมเดลการถดถอยสามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการซื้อซ้ำได้ร้อยละ 68.2 (R² = 0.682)</p> ภัทรนันท์ กัญจนวิภาพร ศิริอมร กาวีระ ตรีภพ ชินบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 229 246 A STUDY ON THE IMPACT OF THE COLLABORATIVE TEACHING MODEL OF THE “TRANSLATION PRACTICE” COURSE AT GUANGXI UNIVERSITY OF FOREIGN LANGUAGES ON TRANSLATION https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5198 <p>The objectives of this study are: 1) to explore the impact of the collaborative teaching model on students’ translation abilities in the Translation Practice course; 2) to analyze the effects of the model on the sub-dimensions of language proficiency, translation competence, and translation literacy; 3) to examine the relationships among cooperative learning atmosphere, task design, teacher guidance and feedback, and translation ability; and 4) to propose effective strategies for improving translation instruction through collaborative learning. This research adopts a quasi-experimental design with a comparative control method. The population consists of English majors from Guangxi University for Foreign Languages, and the sample comprises 140 students from the 2022 cohort, divided equally into an experimental group (collaborative teaching model) and a control group (traditional teaching model). Data were collected using standardized translation tests and a self-designed questionnaire, and analyzed through SPSS 26.0 using descriptive statistics, independent-samples t-tests, correlation, and regression analysis.</p> <p> The research results show that: 1) the experimental group significantly outperformed the control group in translation ability (M = 83.90 vs. 74.47, t = 22.06, p &lt; .001); 2) the collaborative teaching model positively influenced all sub-dimensions of translation ability, with the greatest improvement in translation literacy (M = 3.55); 3) strong positive correlations were found among the cooperative learning atmosphere, task design, teacher feedback, and translation ability (r &gt; .80, p &lt; .01); and 4) regression analysis confirmed that the collaborative teaching model significantly predicted translation performance (β = .961, R² = .922, p &lt; .001). The study concludes that the collaborative teaching model substantially enhances students’ translation performance by fostering peer interaction, effective task engagement, and reflective teacher feedback. Recommended strategies include strengthening task authenticity, refining feedback mechanisms, and cultivating supportive cooperative learning environments to improve translation pedagogy in higher education.</p> Mengyao Liang ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 247 263 ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่มีอิทธิพลต่อการอยู่รอดของโรงเรียนการบิน ในประเทศไทย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4633 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความท้าทายของโรงเรียนการบินในประเทศไทย 2) ระบุและวัดปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของโรงเรียนการบิน 3) พัฒนาโมเดลเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความอยู่รอดและความยั่งยืนของโรงเรียนการบิน และ 4) เสนอแนวทางนโยบายและการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับผู้บริหารและหน่วยงานภาครัฐ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญด้านการบินและผู้บริหารโรงเรียนการบินจำนวน 15 คน และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 300 คน ซึ่งประกอบด้วยครูฝึก นักเรียนการบิน และเจ้าหน้าที่บริหารในโรงเรียนการบิน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมานใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อทดสอบอิทธิพลของตัวแปรเชิงกลยุทธ์ต่อความอยู่รอดของโรงเรียนการบิน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 1 โรงเรียนการบินในประเทศไทยประสบปัญหาต้นทุนการดำเนินงานสูง ขาดแคลนครูการบินที่มีใบอนุญาตสากล มาตรฐานความปลอดภัยเข้มงวด และการแข่งขันจากต่างประเทศ รวมถึงความท้าทายจากเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานการบิน</p> <p> 2) วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) ได้แก่ การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และคุณภาพการศึกษา ซึ่งร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความอยู่รอดได้ร้อยละ 76.5</p> <p> 3) วัตถุประสงค์ข้อที่ 3 โมเดลเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 มิติหลัก คือ การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนรู้ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ²/df = 1.86, GFI = 0.93, AGFI = 0.90, RMSEA = 0.042)</p> <p> 4) ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 4 แนวทางเชิงนโยบายที่เสนอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์กลางพัฒนาโรงเรียนการบินแห่งชาติ การลงทุนร่วมรัฐ–เอกชน การพัฒนาหลักสูตรการบินสมัยใหม่ และการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล</p> พันธ์พิสุทธิ์ นุราช ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 264 280 บทบาทพราหมณ์เกศสุริยง: การถ่ายทอดบทบาทผู้หญิง ในตัวละครพราหมณ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/3356 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทพราหมณ์ของนางเกศสุริยงในการแสดงละครนอกเรื่อง สุวรรณหงส์ และ 2) เพื่อวิเคราะห์กระบวนท่ารำและวิธีการแสดงบทบาทพราหมณ์เกศสุริยงในตอนชมถ้ำ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 2 คน การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ทั้งนี้คัดเลือกข้อมูลด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาพรรณนาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) บทบาทพราหมณ์ของนางเกศสุริยงปรากฏลักษณะสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ บทบาทของหญิงที่ปลอมตัวเป็นพราหมณ์เพศชาย บทบาทที่แสดงถึงการเก็บงำอารมณ์ความเป็นหญิงไว้ภายใน และบทบาทที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงอย่างชัดเจนในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อถูกพระสุวรรณหงส์เกี้ยวพาราสี 2) กระบวนท่ารำและวิธีการแสดงมีลักษณะซับซ้อน อาศัยพื้นฐานภาษาท่าของตัวพระ เช่น ท่ายืน ท่าเรียก ท่าเดิน และนาฏยศัพท์ ได้แก่ การก้าวเท้าและการตั้งวงระดับ เพื่อสื่อถึงบุคลิกความสง่างามตามบทบาทพราหมณ์ ขณะเดียวกันมีการแทรกท่ารำแบบตัวนาง เช่น ท่าอายและท่าปัดป้อง เพื่อสะท้อนอารมณ์ความเป็นหญิงที่แฝงอยู่ภายใน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การผสมผสานภาษาท่าของตัวพระและตัวนางในตัวละครเดียวกันเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยสร้างความลุ่มลึกให้กับบทบาท และสามารถถ่ายทอดภาวะอารมณ์ที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพตามรูปแบบนาฏศิลป์ไทย</p> ฐิตินันท์ หล้าป้อม ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ จินตนา สายทองคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 281 299 การพัฒนาระบบการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 โรงเรียนวัดบัวขวัญ (มีทับราษฎร์บำรุง) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4845 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 2) พัฒนาระบบการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 3) ทดลองใช้ระบบการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 และ 4) ประเมินและรับรองระบบการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 โรงเรียนวัดบัวขวัญ (มีทับราษฎร์บำรุง) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนวัดบัวขวัญ จำนวน 35 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ การวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (µ) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษาโรงเรียนวัดบัวขวัญ (มีทับราษฎร์บำรุง) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 พบว่า ครูตั้งใจสอนให้ผู้เรียนมีฉันทะรักเรียนแล้วต้องขยัน ตั้งจิต ใช้สติปัญญาพิจารณาในเรื่องที่เรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนการสอน ต้องทำให้ผู้เรียนมีใจรักในวิชาที่เรียนก่อนแล้วอิทธิบาทข้ออื่น ๆ ก็จะเกิดตามมา 2) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนเป็นไปตามกฎข้อบังคับของกระทรวงที่กำหนดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดการเรียนรู้ ครูได้รับการประเมินผลการจัดการเรียนรู้และนำผลประเมินไปพัฒนาตนเอง 3) ผลการทดลองใช้ระบบการเรียนการสอนสังคมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ด้านหลักสูตรการเรียนรู้ มีเนื้อหาสาระเหมาะสมกับวัย ด้านกระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนนำประสบการณ์ไปใช้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพด้านสื่อการเรียน คือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และ ด้านการวัดและประเมินผล และ 4. ความพึงพอใจด้านบรรยากาศ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก</p> เอกไผท แก้วหอม สมชัย ศรีนอก พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 300 321 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จด้านการตลาดของธุรกิจฟิตเนสเซ็นเตอร์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4650 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจฟิตเนสที่ส่งผลต่อปัจจัยความสำเร็จ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการและการพัฒนาของธุรกิจฟิตเนสที่ส่งผลต่อปัจจัยความสำเร็จ และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของประสบการณ์ของลูกค้าของธุรกิจฟิตเนสที่ส่งผลต่อปัจจัยความสำเร็จ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากผู้ใช้บริการฟิตเนสขนาดใหญ่ จำนวน 4 องค์กร รวม 67 สาขา กลุ่มตัวอย่าง 464 คน โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อสังเคราะห์ประเด็นสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) กลยุทธ์ทางการตลาดมีอิทธิพลเชิงบวกต่อปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจฟิตเนสอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด และการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มการรับรู้และความเชื่อมั่นของลูกค้า</p> <p>2) คุณภาพการให้บริการและการพัฒนามีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยความสำเร็จ โดยเฉพาะด้านทักษะและความเอาใจใส่ของพนักงาน ความทันสมัยของอุปกรณ์ และมาตรฐานการบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดความพึงพอใจและความภักดี</p> <p>3) ประสบการณ์ของลูกค้ามีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของธุรกิจฟิตเนส โดยลูกค้าที่ได้รับประสบการณ์เชิงบวกทั้งด้านคุณภาพ บรรยากาศ และการบริการ มีแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำและแนะนำต่อ</p> สุกันตา มันทะนา พิทยุช ญาณพิทักษ์ สุพัฒน์ ธีรเวชจริญชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 322 339 การดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถ ตามหลักสับปุริสธรรม 7 ใน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/3830 <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 3) เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานโดยแจกแบบสอบถามกับ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยล่ะ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน และทดสอบสมมติฐาน t-test และ F-test และใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักทั้ง 5 ท่าน โดยวิเคราะห์จัดประเภทของข้อมูล และสรุปเป็นคำบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อยู่ในระดับมาก พิจารณาในแต่ละด้านโดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านงานอัตตัญญุตา และอัตถัญญุตา ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนที่มีระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็น ต่อการปฏิบัติการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีโดยรวมไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติการปฏิบัติการดำเนินนโยบายภาครัฐด้านประกันภัยรถภาคบังคับตามหลักสับปุริสธรรม 7 ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในแต่ละด้าน ดังนี้<strong> </strong>ประชาชนที่มีเพศต่างกัน ความคิดเห็น ไม่แตกต่างกัน การทราบว่าถ้าได้รับบาดเจ็บไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น หรือกรณีที่เสียชีวิต ยังได้รับการชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็นสิ่งสำคัญ</p> เสาวลักษณ์ ตันถาวร เกษฎา ผาทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 340 355 เศรษฐกิจแบ่งปันกับช่องว่างทางกฎหมายของประเทศไทย: การคุ้มครองแรงงานในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4141 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งวิเคราะห์ช่องว่างทางกฎหมายในประเทศไทยที่เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานในระบบเศรษฐกิจแบ่งปัน โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วในไทย การใช้ระบบแพลตฟอร์มส่งผลให้การทำงานมีความยืดหยุ่น แต่ในขณะเดียวกัน แรงงานที่ทำงานผ่านแพลตฟอร์มกลับไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานแบบดั้งเดิม บทความนี้ศึกษาถึงช่องว่างในกฎหมาย โดยพบว่ากฎหมายของประเทศไทยไม่สามารถคุ้มครองแรงงานในระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสถานะของแรงงานในระบบแพลตฟอร์มยังไม่มีความชัดเจนในกฎหมาย ทำให้แรงงานเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายแรงงานแบบดั้งเดิม เช่น สิทธิประกันสังคม และค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยจากการศึกษาได้เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนากฎหมายที่สามารถคุ้มครองแรงงานในระบบเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม 5 ประการ ได้แก่การปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมแรงงานในแพลตฟอร์ม การกำหนดสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน การให้สิทธิ์ทางสวัสดิการที่เท่าเทียมกับแรงงานในระบบทั่วไป (เช่น การประกันสุขภาพและการคุ้มครองจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากแพลตฟอร์ม) การสร้างมาตรฐานแรงงานในแพลตฟอร์มที่เหมาะสมและการส่งเสริมการรวมตัวของแรงงานเพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองในการทำงาน</p> วีร์ชาพิภัทร ผาสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 356 376 อิทธิบาท 4 : กระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4565 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกรอบแนวคิดและแนวทางการประยุกต์ใช้ อิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ (ความพอใจ), วิริยะ (ความเพียร), จิตตะ (ความตั้งใจ), วิมังสา (การพิจารณา) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระดับบุคคลและสังคม การศึกษาเน้นการวิเคราะห์บทบาทของอิทธิบาท 4 ในการส่งเสริมคุณธรรม จิตสำนึก ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และการสร้างความร่วมมือในชุมชน ผลการวิเคราะห์พบว่าการนำอิทธิบาท 4 ไปประยุกต์ช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาตนเองในทุกมิติ ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สังคม และคุณธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนและสังคมเกิดความเข้มแข็ง มีความสามัคคี และยั่งยืน บทความนี้เสนอกรอบแนวคิดเชิงวิชาการที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างโครงการหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมีคุณธรรมและยั่งยืน</p> พระครูวินัยธรสุเมธี สิริปญฺโญ (โสจันทร์) พระมหาเตวิช โชติญาโณ พระมหาฉัตรชัย ธมฺมวรเมธี (ทันบาล) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 377 390 พฤติกรรมการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นวาย ในเขตจังหวัดนนทบุรี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5190 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นวาย และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นวายในเขตจังหวัดนนทบุรี เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าไคสแควร์ </p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ใช้บริการของธนาคารกสิกรไทย โดยมีระยะเวลาในการใช้บริการ ประมาณ 1–2 ปี และนิยมใช้บริการประเภท การโอนเงินระหว่างบัญชี</p> <p> 2) ความถี่ในการใช้บริการส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ทุกวัน มีจำนวนเงินที่ใช้บริการต่อครั้ง ระหว่าง 1,000–5,000 บาท โดยมักชำระค่าบริการด้วยวิธี หักชำระโดยเงินสดหรือจากบัญชีโดยตรง</p> <p> 3) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี ช่วงเวลาการใช้บริการไม่แน่นอน ใช้เวลาในการทำธุรกรรมต่อครั้ง น้อยกว่า 5 นาที และไม่มีสถานที่ประจำในการใช้บริการ</p> <p> 4) เหตุผลสำคัญที่เลือกใช้บริการ ได้แก่ ความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และ รูปแบบของแอปพลิเคชันที่ทันสมัยน่าใช้</p> <p> 5) บุคคลที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจใช้บริการ คือ สื่อประชาสัมพันธ์ โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารจาก อินเทอร์เน็ต มีแนวโน้มในการใช้บริการ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการ แนะนำให้ผู้อื่นมาใช้บริการ </p> วิภาวรรณ พิสิฐเวช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 391 405 FACTORS IMPACTING PRIVATE UNIVERSITY TEACHER RETENTION ON HIGHER EDUCATION OF SHANDONG YINGCAI UNIVERSITY https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4603 <p>This study investigates key factors influencing teacher retention at Shandong Yingcai University, a private Chinese higher education institution. It examines the impact of six factors-Person-Organization Fit (POF), Supportive Work Environment (SWE), Job Satisfaction (JS), Job Embeddedness (JE), Job Security (JSE), and Work Condition(WC)-on Teacher Retention(TR).Multiple linear regression analysis of data from 228 full-time teachers revealed that all six variables significantly positively influence retention, with the model explaining 77.9% of the variance (R² = 0.779). Job Security (β = 0.433) and Supportive Work Environment (β = 0.41) had the strongest effects, followed by Job Satisfaction, Job Embeddedness, Work Condition, and Person-Organization Fit. A 14-week strategic intervention-including group mentoring, counseling, improved communication, professional development, and enhanced working conditions-was implemented. Post-intervention data showed significant improvements in all variables and retention. Paired sample t-tests confirmed statistically significant differences (p &lt; .01) between pre- and post-test scores. The study concludes that a holistic strategy addressing organizational, psychological, and environmental factors is essential for improving teacher retention in private universities, offering valuable insights for administrators and policymakers.</p> Tiantian Liu ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 406 426 อิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีต่อความตั้งใจติดตั้ง โซล่าร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5024 <p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีต่อความตั้งใจติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนินการเก็บแบบสอบถามกับผู้บริโภคที่สนใจและมีแนวโน้มจะติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 384 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมุติฐานการวิจัย</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีต่อความตั้งใจติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (β = 0.430) ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (β = 0.328) และด้านผลิตภัณฑ์ (β = 0.131) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนาย (R²) เท่ากับ 0.414 หรือร้อยละ 41.4</p> สุพรรณี พิมพ์พิชาสกุล พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 427 446 COPING WITH TEST ANXIETY: A PHENOMENOLOGICAL EXPLORATION OF THAI UNIVERSITY STUDENTS' EXPERIENCES WITH THE HSK EXAM FROM A SOCIOCULTURAL PERSPECTIVE https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4607 <p>Under the background of globalization, HSK is becoming more and more important in Thailand. HSK has become the key to study abroad and employment, but it also brings test anxiety challenges. This study uses the phenomenological method to explore the anxiety experience of Thai university students in HSK examination from the perspective of social and cultural theory. In the form of in-depth interviews, 16 university students from 10 different universities were interviewed. The results show that their anxiety is diverse and closely related to social and cultural background. Based on this, the study puts forward targeted suggestions to provide support and strategies for Thai students’ HSK preparation.</p> Yuanai Li Warisa Asavaratana ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 447 467 RESEARCH ON THE INFLUENCE OF TEACHER SATISFACTION IN THE DIGITAL TRANSFORMATION OF SHANDONG HUAYU UNIVERSITY OF TECHNOLOGY, CHINA https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4841 <p>This research article aims to:collect data from 532 full-time teachers at Shandong Huayu Institute of Technology, a private higher education institution in China, to examine the key factors influencing teachers’ job satisfaction (TJS);explore the impact of six specific factors-Management Style (MS), Regulation of Emotion in the Self (RES), Result Feedback and Motivation (RFM), Work Environment (WE), Self-emotional Appraisal (SEA), and Respect (R)-on teachers’ job satisfaction;verify the effectiveness of a 14-week strategic intervention in improving the identified influencing factors and teachers’ job satisfaction.The data were analyzed by:Multiple linear regression analysis, which was used to examine the relationship between the six influencing factors (MS, RES, RFM, WE, SEA, R) and teachers’ job satisfaction (TJS), and to determine the explanatory power of the model and the strength of the impact of each factor; Paired sample t-tests, which were used to compare the pre-intervention and post-intervention scores of all variables (the six influencing factors and TJS) to verify whether there were statistically significant differences after the intervention.The results of the research were:1.Multiple linear regression analysis showed that all six variables (MS, RES, RFM, WE, SEA, R) had a significant positive influence on teachers’ job satisfaction (TJS), and the regression model explained 57.2% of the variance in TJS (R²=0.572). Among the six factors, Regulation of Emotion in the Self (RES) had the strongest impact (β=0.467), followed by Self-emotional Appraisal (SEA) (β=0.359), and then Respect (R), Management Style (MS), Work Environment (WE), and Result Feedback and Motivation (RFM) in sequence.2.After the implementation of the 14-week strategic intervention (which included group guidance, consultation, improved communication, policy optimization, and improved working conditions), post-intervention data revealed significant improvements in all variables, including the six influencing factors (MS, RES, RFM, WE, SEA, R) and teachers’ job satisfaction (TJS).3.Paired sample t-tests confirmed that there were statistically significant differences (p &lt; .01) between the pre-test and post-test scores of all variables, further verifying the effectiveness of the intervention in enhancing the relevant factors and teachers’ job satisfaction.</p> Di Pan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 468 490 การประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการพัฒนาชุมชนของประชาชน ในเขตเทศบาลตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4969 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในการพัฒนาชุมชนของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ และ <br />2) เสนอแนวทางในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในพื้นที่ดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลเขาพนม จำนวนทั้งสิ้น 364 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น จากประชากรทั้ง 8 หมู่บ้านในเขตเทศบาล เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) โดยภาพรวมประชาชนมีระดับการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้าน ปิยวาจา (การพูดจาไพเราะ) และ สมานัตตตา (การวางตนเสมอภาค) มีระดับสูงที่สุด ขณะที่ด้าน ทาน (การให้) มีระดับต่ำสุดแต่ยังอยู่ในระดับมาก</p> <p> 2) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาการอยู่อาศัยในชุมชน มีผลต่อระดับการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในมิติของ อัตถจริยา และ ปิยวาจา</p> <p> 3) แนวทางการส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุธรรมในชุมชน ได้แก่ การส่งเสริมกิจกรรมจิตอาสา การบูรณาการหลักธรรมในกิจกรรมของชุมชน การเสริมบทบาทผู้นำชุมชน และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ธรรมะในชีวิตประจำวัน</p> วิชาญ ธมฺมญาโณ กัณตภณ หนูทองแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 491 506 ปัจจัยด้านโลจิสติกส์ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกช่องทางจัดจำหน่าย วัสดุก่อสร้างสแตมป์คอนกรีต https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4651 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านโลจิสติกส์ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างสแตมป์คอนกรีตของผู้ค้าปลีกในจังหวัดสมุทรสาคร และ 2) วิเคราะห์ระดับความสำคัญของปัจจัยด้านโลจิสติกส์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกช่องทางจัดจำหน่าย กลุ่มตัวอย่างคือผู้ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างจำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.921 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 1 พบว่า แบบจำลองการถดถอยมีความเหมาะสม (F = 1117.373, Sig. = 0.000) และสามารถอธิบายความผันแปรของการเลือกช่องทางจัดจำหน่ายได้ร้อยละ 78.6 (R² = 0.786) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ประสิทธิภาพการขนส่ง (β = 0.412, p &lt; 0.01) การใช้เทคโนโลยีโลจิสติกส์ (β = 0.287, p &lt; 0.01) และต้นทุนโลจิสติกส์ (β = 0.224, p &lt; 0.01) ขณะที่การตอบสนองลูกค้า (β = 0.073, p &gt; 0.05) และความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ (β = 0.058, p &gt; 0.05) ไม่พบอิทธิพลเชิงนัยสำคัญ ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 2 พบว่าผู้ค้าปลีกที่มีลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ขนาดกิจการ และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ มีความคิดเห็นต่อปัจจัยโลจิสติกส์ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกช่องทางจัดจำหน่ายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่าลักษณะทางธุรกิจเป็นปัจจัยที่กำหนดการให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการโลจิสติกส์</p> <p> โดยสรุป การเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างสแตมป์คอนกรีตขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพการขนส่ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และการควบคุมต้นทุนโลจิสติกส์ เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการบริหารจัดการโลจิสติกส์เชิงกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต</p> ลัคณพร คงเจริญ ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 507 523 การประเมินความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4749 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ในหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และสภาพความต้องการจำเป็นในการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา โดยวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ จำนวน 298 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ PNI<sub>_</sub>modified และส่วนที่ 2 การสัมภาษณ์<br />เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 6 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา มีการรับรู้ในหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพปัจจุบันในการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ในขณะที่สภาพที่คาดหวังในการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนลำดับความสำคัญการประเมินความต้องการจำเป็นด้านที่มากที่สุดคือ ด้านบรรยากาศในการทำผลงานทางวิชาการ (PNI<sub>_</sub>modified = 0.35) และ 3) แนวทางการพัฒนาการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา โดยการพัฒนากลไกแรงจูงใจภายใน (inner motivation) และมาตรการเชิงระบบ ที่ส่งเสริมให้คณาจารย์ตระหนักถึง คุณค่าที่แท้จริงของตำแหน่งทางวิชาการ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์และกระบวนการให้ชัดเจนและยืดหยุ่น และเพิ่มการสนับสนุนงบประมาณวิจัยเพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ และสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ต้องจัดตั้งระบบพี่เลี้ยงที่เป็นทางการและต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี และมอบรางวัลจูงใจให้ส่วนงานที่บรรลุเป้าหมาย</p> สมาพร วรรณโวหาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 524 545 พุทธเศรษฐศาสตร์ ฉบับนิสิต นักศึกษา และประชาชน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5105 <p>หนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการอธิบายแนวคิด “พุทธเศรษฐศาสตร์” ให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักเมตตา ความพอเพียง และปัญญาเป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจ จุดมุ่งหมายของผู้เขียนคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก “ทุนนิยม” มาสู่ “ปัญญานิยม” ที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการผสานปรัชญาพุทธกับเศรษฐศาสตร์อย่างมีระบบ เหมาะสำหรับนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ต้องการเข้าใจเศรษฐศาสตร์ในมิติของจริยธรรมและจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม บทนำของการวิจารณ์มีความครอบคลุมและให้บริบททางประวัติ ความสำคัญ และเจตนารมณ์ของหนังสือได้อย่างชัดเจน แต่สามารถเพิ่มเติม “ปัญหาวิจัยหรือช่องว่างองค์ความรู้” ที่หนังสือต้องการตอบ เพื่อเพิ่มมิติทางวิชาการให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หนังสือ “พุทธเศรษฐศาสตร์ ฉบับนิสิต นักศึกษา และประชาชน” โดย ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน และคณะ ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นตำราเรียนประกอบการศึกษารายวิชา พุทธเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาเลือกของนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน คณบดีคณะบริหารศาสตร์ ผู้มีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนแนวทางการเรียนการสอนด้านเศรษฐศาสตร์จากกระแสหลักตะวันตก มาสู่แนวคิดแบบพุทธ โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และความยั่งยืน มากกว่าการแสวงหากำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว แนวทางพุทธเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวจึงตอบโจทย์โลกปัจจุบันและอนาคต ด้วยการเน้นการดำรงชีวิตอย่างสมดุล ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมอย่างเกื้อกูลกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในระดับบุคคล สังคม และประเทศชาติ ดังนั้น หนังสือที่นำมาวิจารณ์ในครั้งนี้ ซึ่งเขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน และคณะ นับว่ามีคุณูปการต่อวงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ และบทวิจารณ์ฉบับนี้ย่อมอำนวยประโยชน์เชิงวิชาการแก่นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจในแนวทางเศรษฐศาสตร์ที่เกื้อกูลต่อจิตใจและสังคม สืบไป</p> <p>สำหรับหนังสือเล่มนี้ พิมพ์ครั้งแรก รูปเล่มหนังสือมีขนาด 155X200X10 มม. <br />น้ำหนัก 300 กรัม ชนิดกระดาษเป็นกระดาษถนอมสายตา จัดพิมพ์โดย บริษัท สำนักพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ จำกัด ปีที่พิมพ์จำหน่าย พ.ศ. 2549 ไม่ระบุจำนวนที่จัดพิมพ์ เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้มีจำนวนทั้งหมด 9 บท จำนวน 158 หน้า มีลักษณะรูปเล่ม ใช้โทนปกสีเขียวเข้ม ทำให้รูปเล่มดูเด่น ตรงบริเวณหน้าปกจะมีรูปวงล้อธรรมจักร รูปวิวต้นไม้มีนกเกาะอยู่ และข้อความชื่อหนังสือเขียนเป็นอักษรตัวหนังสือสีเหลืองเขียนว่า “พุทธเศรษฐศาสตร์ ฉบับนิสิต นักศึกษา และประชาชน” และด้านล่างของปกหน้า จะมีข้อความตัวหนังสือสีขาวว่า เป้าหมายสูงสุด คือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของประเทศจาก “ทุนนิยม” มาเป็น “พุทธเศรษฐศาสตร์” ซึ่งมีรูปธรรม คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” และด้านล่างสุดเขียนชื่อผู้เขียนเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน และคณะ ส่วนปกด้านหลัง จะเป็นโทนสีเขียวหัวเป็ด มีรูปวิวธรรมชาติ และมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า .....ถ้าหากเข้าใจปัญญาของมนุษย์มีความสำคัญมากกว่าทุน ความคิดที่จะพึ่งปัญญาในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิตหลักจะมีมากขึ้น ถ้าหากสังคมระดับประเทศหรือสังคมโลกทั้งหมดเน้นปัญญาเป็นปัจจัยการผลิตหลัก ระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศหรือสังคมโลกก็จะเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่อาจจะเรียกว่าระบบ “ปัญญานิยม” แทนระบบ “ทุนนิยม” ที่กำลังสร้างความเสียหายให้สังคมมนุษย์ในปัจจุบัน.... สำหรับข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ คือ อภิชัย พันธเสน และคณะ, พุทธเศรษฐศาสตร์ ฉบับนิสิต นักศึกษา และประชาชน, กรุงเทพมหานคร: บริษัท สำนักพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ จำกัด, 2549. ISBN : 974-9402-67-7</p> พระสมบัติ สนฺตจิตฺโต (เป็งวงศ์) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 546 561 SMART EDUCATION IN THE DIGITAL AGE: ITS IMPACT ON STUDENT ENGAGEMENT AND ACADEMIC PERFORMANCE https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2268 <p>As digital transformation reshapes the education sector, Smart Education has emerged as a key approach to enhancing student engagement and academic performance through artificial intelligence (AI), big data analytics, the Internet of Things (IoT), and cloud computing. This study explores educators' perceptions of Smart Education, exploring its effectiveness, challenges, and implications in modern learning environments. Using a qualitative research approach, in-depth interviews were conducted with ten educators who have experience implementing Smart Education technologies. Content analysis was performed.</p> <p> The findings reveal that interactive digital tools and AI-driven learning platforms significantly enhance student motivation, participation, and knowledge retention. However, challenges such as technological disparities, faculty resistance, and ethical concerns related to AI-generated assessments and data privacy remain key barriers to successful implementation. The findings contribute to ongoing discussions on digital learning innovations and offer practical recommendations for educators, policymakers, and technology developers to optimize Smart Education in diverse academic settings.</p> Rerkchai Ponsri Tasnee Keawngam Wenxin Dong Wei Shang Natphitsa Chaowanachaemchunt ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 562 573 ปัญหาการตีความคำว่า “ทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 137 ในยุคสังคมดิจิทัล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4946 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการตีความคำว่า “ทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 2) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและข้อจำกัดในการตีความคำว่า “ทรัพย์” ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกรณีทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง เช่น ข้อมูลดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และโทเคนดิจิทัล 3) เพื่อเสนอแนวทางและข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับปรุงหรือขยายความหมายของคำว่า “ทรัพย์” ให้ครอบคลุมทรัพย์ในยุคดิจิทัล เพื่อให้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม</p> <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใช้วิธีศึกษาวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Research) จากบทบัญญัติกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกา ตำรา และบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายจำนวน 10 คน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ ข้อเท็จจริงและแนวทางเชิงนโยบาย</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) การตีความคำว่า “ทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดแบบดั้งเดิมที่เน้นทรัพย์ที่มีรูปร่างและจับต้องได้ ส่งผลให้ทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง เช่น ข้อมูลดิจิทัล หรือโทเคนดิจิทัล ไม่สามารถเข้าข่ายเป็น “ทรัพย์” ได้อย่างชัดเจน 2) การขาดบทบัญญัติและแนวคำพิพากษาที่รองรับทรัพย์สินดิจิทัลอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายและความไม่แน่นอนในการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของทรัพย์ดิจิทัล 3) ควรมีการปรับปรุงแนวตีความและเสนอให้มีกฎหมายเฉพาะหรือการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติ มาตรา 137 เพื่อขยายความหมายของคำว่า “ทรัพย์” ให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และหลักความยุติธรรมในสังคมดิจิทัลยุคปัจจุบัน</p> ปานใจ ยกกลิ่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 574 594 ประสิทธิผลของโปรแกรมฝึกอบรมด้านความปลอดภัยต่อพฤติกรรม การปฏิบัติงานของพนักงาน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4877 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์ประสิทธิผลของโปรแกรมฝึกอบรมด้านความปลอดภัยต่อพฤติกรรมการปฏิบัติงานของพนักงาน และ (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน กับพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของพนักงาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งได้มาจากพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 130 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test, ANOVA และสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 1 ประสิทธิผลของโปรแกรมฝึกอบรมด้านความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยรวม = 4.16, S.D. = 0.48) โดยพนักงานมีการปรับปรุงพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในทุกมิติ ได้แก่ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม การสังเกตและรายงานเหตุการณ์ไม่ปลอดภัย และการให้คำแนะนำเพื่อนร่วมงาน</p> <p> 2) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 2 ได้แก่ เพศและประสบการณ์การทำงาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพนักงานเพศหญิงและผู้ที่มีประสบการณ์สูงมีแนวโน้มปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยมากกว่า ส่วนอายุและระดับการศึกษาไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การจัดโปรแกรมฝึกอบรมด้านความปลอดภัยมีส่วนสำคัญต่อการยกระดับพฤติกรรมความปลอดภัยของพนักงาน และควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร</p> นพกร อุสาหะนันท์ สุรพงษ์ เนตรประสม มนัส รุ่มรวย กล้า อุ่นเรือน ลัคณาพร คงเจริญ อนุสรณ์ ศรีสวัสดิ์ ชุติมา ทะวรรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 595 611 อริยสัจ 4 กับการสร้างกรอบการตัดสินใจเชิงปัญญา ในการบริหารองค์กรยุค AI https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5091 <p>บทความนี้นำเสนอ Ariya-Wise Decision Framework หรือกรอบการตัดสินใจเชิงปัญญาด้วยอริยสัจ ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงบูรณาการเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจอย่างยั่งยืนในองค์กรยุคปัญญาประดิษฐ์ แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการประมวลผลข้อมูต่างๆ แต่สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องผสานเข้ากับปัญญาเชิงคุณธรรมด้วย เพื่อให้การบริหารและการตัดสินใจมีความรอบคอบ สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและบริบททางสังคม กรอบแนวคิดนี้จึงอิงหลักการของหลักอริยสัจ 4 ในการแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา (ทุกข์) การค้นหาสาเหตุเชิงลึก (สมุทัย) การกำหนดเป้าหมายที่ตั้งอยู่บนคุณธรรม (นิโรธ) และการวางแผนพร้อมลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง (มรรค) โดยใช้ การคิดเชิงวิพากษ์ เป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อมูลต่าง ๆ เพื่อลดอคติและยืนยันความเที่ยงตรงในการสร้างและใช้งานระบบ AI การประยุกต์ใช้กรอบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความท้าทายในยุค AI ได้อย่างมีสติ ตั้งแต่การตระหนักรู้และกำหนดเป้าหมายชัดเจน การสร้างฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไปจนถึงการพัฒนาและประเมินผลระบบ AI ในทั้งมิติประสิทธิภาพและจริยธรรม ด้วยการผสานด้วยปัญญาเชิงข้อมูล (AI) และ ปัญญาเชิงคุณธรรม (อริยสัจ 4) องค์กรจึงสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างรอบด้าน มีเหตุผล รับผิดชอบ และบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p> สมพงษ์ แซ่ท้อ พัสกร อุ่นกาศ สมชาย มะรินทร์ ประวิทย์ เอกเจริญสุข วชิรญาณ์ รักบิดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 612 628 บทบาทม้าอุปการในการแสดงโขน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4536 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาท และกระบวนท่ารำของตัวละครม้าอุปการในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนปล่อยม้าอุปการ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ อาศัยการศึกษาเอกสาร การสังเกตการแสดง และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนาฏศิลป์ วิเคราะห์ในลักษณะการบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ม้าอุปการ มีบทบาทสำคัญในฐานะพาหนะของพระราม สื่อถึงอำนาจ ความภักดี และความศักดิ์สิทธิ์ ผ่านท่ารำที่สง่างามและทรงพลัง สะท้อนคติความเชื่อเรื่องอำนาจและบารมีของกษัตริย์ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย</li> <li>กระบวนท่ารำของม้าอุปการ ผสมผสานนาฏยศัพท์มาตรฐานกับท่าทางเลียนแบบธรรมชาติของม้า เช่น การก้าวเดิน การกระโดด และการกระทืบเท้า แสดงถึงพลังและความสง่างามอย่างสอดคล้องกับจังหวะและอารมณ์ของการแสดงโขน</li> </ol> <p> จากการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีภาษากายและทฤษฎีบทบาททางสังคม สามารถอธิบายได้ว่า ผู้แสดงใช้ร่างกายเป็นภาษาสื่อสารเชิงสัญลักษณ์เพื่อถ่ายทอดบทบาทของม้าอุปการ อันสะท้อนทั้งอารมณ์ บุคลิกภาพ และสถานะทางสังคมในเรื่องรามเกียรติ์ ผลการวิจัยจึงนำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ว่า ตัวละครสัตว์ในโขนไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบประกอบเรื่อง แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความหมายทางศิลปะและวัฒนธรรม สามารถต่อยอดไปสู่การศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับตัวละครสัตว์อื่น ๆ และการประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทย</p> รณกร เอี่ยมเจริญ สุรัตน์ จงดา ธีรภัทร์ ทองนิ่ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 629 648 รูปแบบการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4615 <p>การวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ 2) เพื่อวิเคราะห์และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ 3) เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ ดังกล่าว การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ดำเนินการ 4 ระยะ ดังนี้ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหาร หัวหน้างาน หัวหน้าแผนก และครู จำนวน 58 คน และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน 2. วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นโดยใช้แบบสอบถามและการคำนวณดัชนี PNI Modified พบว่าส่วนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือ งานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี (PNI = 0.35) รองลงมาคือ งานวิทยบริการและห้องสมุด และงานสื่อการเรียนการสอน 3. ออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศต้นแบบ www.boabec.com โดยใช้กระบวนการ พัฒนาระบบ SDLC (System Development Life Cycle) ผสานกับแนวทาง Agile เพื่อให้ระบบมีความยืดหยุ่นและปรับปรุงต่อเนื่องตามความต้องการจริง 4.ทดลองใช้และประเมินผล โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และให้ผู้ใช้งานจริง 19 คน ประเมินการใช้งาน</p> <p> ผลการวิจัยปรากฏผล ดังนี้</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันของการใช้สารสนเทศในการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (µ = 3.33, σ= 0.94) ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก (µ = 4.27, σ= 0.98) โดยเฉพาะด้านงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี งานวิทยบริการ และงานสื่อการเรียนการสอนที่อยู่ในระดับมากที่สุดสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</li> <li>ระบบต้นแบบ boabec.com สามารถบูรณาการข้อมูลจากงานวิชาการทั้ง 6 ด้าน เข้าสู่ฐานข้อมูลกลาง มีส่วนติดต่อผู้ใช้ที่ใช้งานง่าย รองรับทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน รวมทั้งมีฟังก์ชันการออกรายงานจำนวน 14 รายการ เช่น ตารางสอน ผลการเรียน ข้อมูลครุภัณฑ์ และรายงานผลการฝึกอาชีพ ทำให้การจัดการข้อมูลมีความคล่องตัวและลดความซ้ำซ้อน</li> <li>การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิพบว่าระบบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับสูงมาก (µ = 4.80,σ= 0.20) ครอบคลุมงานวิชาการทุกด้าน และมีศักยภาพในการนำไปใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ</li> <li>ผลการทดลองใช้ระบบโดยผู้ใช้งานจริงพบว่าระบบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงวิชาการได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในระดับสูงถึงสูงมาก (µ = 4.60–4.80)</li> </ol> ณัฐฐวรรธน์ สุวรรณศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 649 667 พลวัฒน์แห่งดินแดนไทย: ภายใต้อนุสัญญาโตกิโอ สู่ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4764 <p>บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับ “พลวัฒน์แห่งดินแดนไทย” อันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอธิปไตยและขอบเขตดินแดนของสยามภายใต้แรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตก โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 <br />จาก “อนุสัญญาโตกิโอ” (Tokyo Convention) ที่เป็นจุดเริ่มของการเจรจาเชิงสัญลักษณ์ ไปสู่ “ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส” (Settlement Agreement) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บทความนี้พิจารณาทั้งบริบทประวัติศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และกฎหมาย โดยใช้หลัก ทฤษฎีระบบโลก (World-System Theory) มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของไทยจากสภาพถูกจำกัดอธิปไตย สู่การทวงคืนสิทธิแห่งรัฐชาติในยุคหลังสงครามโลก บทความวิชาการนี้ชี้ให้เห็นว่า “พลวัฒน์แห่งดินแดนไทย” มิได้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ของการสูญเสียหรือได้คืนดินแดน หากแต่เป็นพลวัตของความพยายามธำรงความเป็นเอกราชและศักดิ์ศรีของรัฐไทยในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันเชิงอำนาจ พร้อมทั้งสะท้อนถึงภูมิปัญญาทางการทูตและความสามารถในการใช้ “พลังแห่งการเปลี่ยนผ่าน” <br />เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมุ่งเปิดพื้นที่ทางวิชาการสำหรับการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม โดยมองดินแดนไม่เพียงในฐานะพรมแดนทางกายภาพ แต่ในฐานะสัญลักษณ์ของอำนาจ การต่อรอง และตัวตนของรัฐไทยที่ยังคงดำรงอยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกสมัยใหม่</p> พระมหาจิรทิปต์ อาจิตฺตปุญโญ (สุขประเสริฐ) เจริญ ทุนชัย ธีรภัทร์ ทองเพ็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 668 682 สมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5018 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสานวิธี แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าเท่ากับ 0.904 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารเทศบาลเมืองผักไห่ และนักวิชาการ จำนวน 6 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านความยึดมั่นในความถูกต้อง ชอบธรรม และจริยธรรม และด้านความรู้ในงานอาชีพ รองลงมา ด้านการบริการที่ดี ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเมืองผักไห่ ได้แก่ (1) ควรจัดทำแผนพัฒนารายบุคคล (2) ควรจัดอบรมที่มีลักษณะเชิงปฏิบัติการ ที่นำไปประยุกต์ใช้ได้จริงกับลักษณะงานต่าง ๆ ได้ (3) ควรเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอ (4) ควรสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้แก่พนักงานในลักษณะที่หลากหลาย และ (5) ควรพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานให้สามารถนำไปพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานได้</p> สุทธินันท์ วงศ์ภัทรนนท์ กมลวรรณ วรรณธนัง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 683 697 การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัย ในสถานที่ทำงาน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4805 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการใช้เทคโนโลยี IoT ในสถานที่ทำงาน 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลด้านความปลอดภัยในการทำงาน และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยี IoT กับประสิทธิผลด้านความปลอดภัย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพนักงานจำนวน 385 คน ซึ่งทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามเชิงโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Correlation Analysis) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> </p> <p> </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) วัตถุประสงค์ที่ 1 พบว่าระดับการใช้ IoT อยู่ใน ระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ย 4.23 จากคะแนนเต็ม 5.00 พนักงานสามารถเข้าถึงและใช้เซ็นเซอร์ แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> 2) วัตถุประสงค์ที่ 2 ประสิทธิผลด้านความปลอดภัยอยู่ใน ระดับสูงมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.41 จาก 5.00 แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และช่วยลดอุบัติเหตุในสถานที่ทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p> 3) วัตถุประสงค์ที่ 2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.68, p &lt; 0.01) แสดงให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยี IoT ส่งผลให้การปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยและการลดความเสี่ยงในการทำงานมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น</p> <p> จากผลการศึกษา IoT เป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การนำ IoT มาใช้ควรควบคู่กับการฝึกอบรมพนักงาน การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย และการจัดการเชิงนโยบาย เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดและยั่งยืน</p> สมัชญา พลชัย บัญญัติ ไม้งาม ชนินทร์ ตั้งรักษ์พงษ์ ภัทถ์สิทธิ์ พรมันช์ศรี มนัส รุ่มรวย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 698 715 ผลการฝึกสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาฟุตซอลชาย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม อายุระหว่าง 18-22 ปี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5151 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายก่อนและหลังการฝึกโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายระยะเวลา 8 สัปดาห์ของนักกีฬาฟุตซอลชาย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม และ 2) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสมรรถภาพทางกายในห้าองค์ประกอบ ได้แก่ ความอ่อนตัว ความคล่องตัว พลังกล้ามเนื้อ ความเร็ว และความอดทนของระบบหายใจและไหลเวียนโลหิต ภายหลังการฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชายสาขาพลศึกษา อายุระหว่าง 18–22 ปี จำนวน 40 คน ที่ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เข้าร่วมโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ความถี่ 3 วันต่อสัปดาห์ โดยใช้การทดสอบสมรรถภาพทางกาย 5 รายการ ได้แก่ Sit and Reach Test, T-Test, Vertical Jump Test, 50-Meter Sprint และ Cooper 12-Minute Run Test การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Paired Sample t-test เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการฝึก</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) หลังการฝึก 8 สัปดาห์ นักกีฬาฟุตซอลชายมีค่าคะแนนสมรรถภาพทางกายเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมตามหลักการ FITT และ Progressive Overload</p> <p> 2) สมรรถภาพทางกายทั้งห้าองค์ประกอบมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านพลังกล้ามเนื้อและความคล่องตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวและการเล่นฟุตซอลอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong> </strong>โดยสรุป โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายระยะเวลา 8 สัปดาห์นี้มีประสิทธิภาพในการพัฒนาสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาฟุตซอลระดับอุดมศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างความพร้อมทางกายสำหรับการแข่งขันได้อย่างเหมาะสม</p> นิตินัย สงวนศรี ชวพัส โตเจริญบดี อรญา บุตรอ่ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 716 730 การบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4804 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) ศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ 3) ศึกษาอิทธิพลของการบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการจัดการเรียนการสอน รองลงมาคือการวัดผลและประเมินผล ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการบริหารหลักสูตร 2) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รองลงมาคือด้านจิตสาธารณะ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านใฝ่เรียนรู้ และ 3) การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผล และการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนได้ร้อยละ 55 (R² = 0.55) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.74 และค่าคลาดเคลื่อนมาตรฐานเท่ากับ 0.41 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 สมการพยากรณ์ที่ได้คือ ในรูปคะแนนดิบ: 𝑌̂ = 0.804 + 0.186(X₂) + 0.215(X₃) + 0.382(X₅) ในรูปคะแนนมาตรฐาน: 𝑍̂ = 0.177(Z₂) + 0.216(Z₃) + 0.394(Z₅)</p> พิชนันท์ ดำตะโก พระมหาธำรงค์ ิตปุญฺโ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 731 748 รูปแบบการยกระดับการดูแลสุขภาพพระสงฆ์โดยเครือข่ายจิตอาสา พระคิลานุปัฏฐากในจังหวัดหนองคาย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4782 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อสำรวจและวิเคราะห์ความต้องการด้านสุขภาพสำหรับพระสงฆ์ในจังหวัดหนองคาย 2) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคนิคการดูแลสุขภาพโดยเครือข่ายจิตอาสาพระคิลานุปัฏฐาก และ 3) เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพพระสงฆ์โดยเครือข่ายจิตอาสาพระคิลานุปัฏฐากในจังหวัดหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการภาคสนาม เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 25 รูป/คน และการสนทนากลุ่ม 10 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์และแนวทางการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า ความต้องการด้านสุขภาพของพระสงฆ์ในหนองคายมีความซับซ้อน ครอบคลุมทั้งพฤติกรรมทางกาย สุขภาพจิต และสภาพแวดล้อมในวัดนอกเหนือจากการรักษาโรค มิติด้านสุขภาพกาย ปัญหาหลักคือกลุ่มโรค NCDs (เช่น เบาหวาน/ความดัน) ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฉันภัตตาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มิติด้านสุขภาพจิต มีความต้องการการดูแล เนื่องจากความโดดเดี่ยวจากการปลีกวิเวกและความเครียดจากภาระหน้าที่ประจำวัน และมิติด้านสิ่งแวดล้อม ต้องการการจัดการในวัดให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ระบบการจัดการขยะ น้ำเสีย และการเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า การพัฒนาองค์ความรู้การดูแลสุขภาพที่บูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานหลักธรรมทางพุทธศาสนา (เช่น การเจริญสติ/ความพอประมาณ) เข้ากับองค์ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ (เช่น การปฐมพยาบาล/เทคโนโลยี) และภูมิปัญญาท้องถิ่น องค์ความรู้เหล่านี้ถูกถ่ายทอดสู่เครือข่ายจิตอาสาพระคิลานุปัฏฐาก เพื่อเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนและสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพในหมู่พระสงฆ์</p> <p> ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่า รูปแบบการดูแลสุขภาพพระสงฆ์คือ “เชิงรุกแบบองค์รวม” เน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ โดยมีเครือข่ายพระคิลานุปัฏฐากเป็นแกนนำหลัก รูปแบบนี้ขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (สาธารณสุข ชุมชน ญาติธรรม และเอกชน) เพื่อสนับสนุนด้านวิชาการ การดูแล และสิ่งแวดล้อม มีการประสานงาน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับวัด (ดูแลรายบุคคล), ตำบล (แลกเปลี่ยนเรียนรู้), และ จังหวัด (วางแผน/นโยบาย) เพื่อให้เกิดระบบที่ครอบคลุม</p> พระครูพิศาลสารบัณฑิต พระมหาไพฑูรย์ สิริธัมโม พระมหาประทีป อภิวฒฺฑโน คิด วรุณดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 749 761 THE EFFECT OF BRAND ATTACHMENT AND ELECTRONIC WORD-OF-MOUTH ON THE REPURCHASE INTENTION FOR COSMETICS VIA THE SHOPEE APPLICATION AMONG GENERATION Z CONSUMERS IN CHIANG MAI PROVINCE https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4649 <p>This study investigates the effect of brand attachment and electronic word-of-mouth on the repurchase intention for cosmetics via the Shopee application among Generation Z consumers in Chiang Mai Province. In the digital era, e-commerce has become a central platform for shopping, and the cosmetics industry is one of the fastest growing sectors. Shopee, as the leading e-commerce platform in Thailand, plays an important role in shaping consumer behavior through its features such as personalized recommendations, promotions, and user reviews. The research focuses on two key factors: brand attachment, which reflects the emotional and psychological connection between consumers and cosmetic brands, and electronic word-of-mouth, which represents online reviews, ratings, and recommendations that strongly influence purchase decisions. A survey of 400 Generation Z consumers was conducted using a structured questionnaire, and data were analyzed through multiple regression.</p> <p> The results show that both brand attachment (β = 0.185, p &lt; 0.05) and electronic word-of-mouth (β = 0.286, p &lt; 0.05) have significant positive effects on repurchase intention, with eWOM showing a stronger impact. The model explained 63.2% of the variance in repurchase intention, confirming the importance of these two factors. The findings suggest that businesses should strengthen brand attachment by creating positive consumer experiences and trust, while also managing eWOM effectively through online engagement, reviews, and influencer strategies. This study provides valuable insights for online cosmetic retailers and marketers in designing strategies that encourage repeat purchases and build sustainable consumer loyalty in the competitive e-commerce environment</p> Pongsiri Kamkankaew Jatupron Wongmahatlek Siriphan Chureemas Sugris Limphothong ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 762 783 ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่มีต่อค่าเปอร์เซ็นต์ไขมัน และมวลกล้ามเนื้อของนักศึกษาพยาบาล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/5007 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 12 สัปดาห์ที่มีต่อเปอร์เซ็นต์ไขมันและมวลกล้ามเนื้อของนักศึกษาพยาบาลหญิง 2) เปรียบเทียบค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันและมวลกล้ามเนื้อก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม และ 3) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังสิ้นสุดการทดลอง</p> <p>การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลหญิงวิทยาลัยนอร์ทเทิร์น จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมคาร์ดิโอ 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที ส่วนกลุ่มควบคุมดำเนินชีวิตตามปกติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) กลุ่มทดลองมีค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันลดลงจาก 36.86% เป็น 34.71% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันเพิ่มขึ้นจาก 34.68% เป็น 36.21%</p> <p>2) กลุ่มทดลองมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นจาก 22.68 กิโลกรัม เป็น 23.83 กิโลกรัม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนกลุ่มควบคุมไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ</p> <p>3) ผลการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ไขมันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) แต่ไม่พบความแตกต่างในมวลกล้ามเนื้อ</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมคาร์ดิโอมีประสิทธิภาพในการลดไขมันในร่างกายและช่วยคงมวลกล้ามเนื้อของนักศึกษาพยาบาลหญิง จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในกลุ่มเยาวชนและบุคลากรด้านสุขภาพได้อย่างเหมาะสม </p> นิตินัย สงวนศรี ปิยธิดา แหลมสั้น โชคอนันต์ นาคใหม่ ชวพัส โตเจริญบดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 784 799 การศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นเพื่อส่งเสริมการจัดงานอีเว้นท์เชิงพิพิธภัณฑ์ในนครขอนแก่น https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4663 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการท่องเที่ยว ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น 2) เพื่อเสนอรูปแบบการจัดการอีเว้นท์เชิงพิพิธภัณฑ์ในนครขอนแก่น โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งงานวิจัยนี้ใช้เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสอบถามจำนวน 400 ชุด และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มหน่วยงานของภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 คน 2) ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 7 คน และ 3) นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น จำนวน 400 คน จากนั้นนำวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้ มาคำนวณเพื่อเขียนเป็นสถิติเชิงพรรณนา โดยนำเสนอผลการศึกษาซึ่งใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ประกอบกับการสร้างแบบจำลอง (Model Development) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis) จากข้อมูลที่ได้มาจากแบบสอบถามมากำหนดเป็นตัวแปร (Variables) เพื่อที่จะทำการ “จัดกลุ่มตัวแปร” (Grouping) ที่ให้ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์สถิติสำเร็จรูป กลุ่มตัวแปรนี้ถูกเรียกว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบ (Factor) จากนั้นทำการสร้างแบบจำลองการวัด (Measurement Model) ซึ่งทำหน้าที่วัดค่าผลเชิงสถิติและยืนยัน (Confirm) การจัดกลุ่มวิเคราะห์นั้นว่ามีการจัดกลุ่มตัวแปรเป็นปัจจัยที่ได้รูปสมบูรณ์ดี (Model Fit) หรือไม่โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปโดยขั้นตอนสุดท้าย คือการสร้างแบบจำลองเชิงโครงสร้าง (Structural Model) โดยอภิปรายผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาวยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น มีความพึงพอใจต่อองค์ประกอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่นักท่องเที่ยวพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านสิ่งดึงดูดใจ ในส่วนความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อคุณค่ามรดกเชิงวัฒนธรรมในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านคุณค่าทางสังคมและในส่วนของความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น นักท่องเที่ยวมีค่าความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านการจัดแสดงชั่วคราว 2) รูปแบบการจัดการอีเว้นท์เชิงพิพิธภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ ด้านพื้นที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นจึงควรจัดพื้นที่ให้เป้นสัดส่วนโดยการทำสัญลักษณ์หรือรั้วเพื่อแบ่งเขตที่คุ้มครองโบราณวัตถุให้ชัดเจน ด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์จะต้องมีระบบในการจัดการการจัดการความรู้เนื้อหาที่มาของโบราณวัตถุและแหล่งโบราณสถานที่ และด้านการศึกษารูปแบบการจัดแสดงโบราณวัตถุ พบว่า ควรนำเสนอในรูปแบบของเรื่องราว ความเชื่อ วิถีชีวิตและยังรวมไปถึงเกี่ยวกับความเป็นมาของโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น</p> ณัฐวรรธน์ พงษ์เพ็ชร นิศาชล แรมลี เบญจวรรณ แสนรัตน์ ฐิรชญา ชัยเกษม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 800 828 รูปแบบการบริหารงานวิชาการสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 2 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/4543 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 2) พัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้างานวิชาการจาก 123 โรงเรียน รวม 246 คน ได้โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน (Stratified Random Sampling) เครื่องมือคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 65 ข้อ ครอบคลุม 5 ด้านของการบริหารงานวิชาการและ 4 ด้านของการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ระหว่าง 0.80–1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบโดยสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 7 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านขั้นตอนที่ 3 ประเมินรูปแบบกับผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้างานวิชาการ 48 คน ได้โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้แบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้อง และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.94 ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบที่พัฒนามี 4 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินงาน และเงื่อนไขความสำเร็จ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน </p> มัชฌิมา ยงเยื้องคง ญาณิศา บุญจิตร์ พิชามญชุ์ สุรียพรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-12-02 2025-12-02 3 6 829 846