วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP <p> <strong> วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่</strong> ISSN 2822-1095 (Online) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2566 โดยสถาบันส่งเสริมและพัฒนาวิชาการด็อกเตอร์เกษ ประเทศไทย จัดพิมพ์ปีละ 6 ฉบับ (2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ)</p> <p>-ปรากฏในฐานข้อมูล google scholar ตั้งแต่ปี 2023</p> <p>-ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (DOIs) ได้รับการระบุในฐานข้อมูล DataCite (https://search.datacite.org/works?query=DR.KET)</p> <p>-วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p> สถาบันส่งเสริมและพัฒนาวิชาการด็อกเตอร์เกษ เลขที่ 1 หมู่ 12 ตำบลเหล่าต่างคำ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 43120 th-TH วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ แนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงช่องว่างทางดิจิทัล ในสถานศึกษาเอกชน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2013 <p> ในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สถานศึกษาเอกชนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะช่องว่างทางดิจิทัลที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารและการเรียนการสอน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างทางดิจิทัลในสถานศึกษาเอกชนอย่างเป็นระบบ โดยอาศัย 6 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) วิเคราะห์บริบทและโครงสร้างของสถานศึกษา 2) ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารและดำเนินงาน 3) เสริมสร้างความสามารถด้านดิจิทัลของบุคลากร 4) ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล 5) นำเสนอแนวทางการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ และ 6) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ<br /> สถานศึกษาเอกชนมีข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัวในการบริหารและสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรดิจิทัลและความแตกต่างระหว่างบุคลากรในช่วงวัยที่มีระดับทักษะทางเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ดังนั้น การบริหารการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อนำไปสู่การลดช่องว่างทางดิจิทัล และเสริมสร้างความสามารถของบุคลากรทุกระดับให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพ การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้สถานศึกษาเอกชนสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่เท่าทันกับยุคดิจิทัล พร้อมรองรับแนวโน้มและความท้าทายในอนาคต</p> ปิยวัน เครือนาค วิรัตน์ มณีพฤกษ์ ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร ชูประยูร Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-06 2025-03-06 3 2 1 16 การจัดการทรัพยากรน้ำของท้องถิ่นไทย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1923 <p> น้ำเป็นทรัพยากรที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่นไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลายพื้นที่ของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ เช่น ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม การขาดแคลนน้ำสะอาด และการเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและศักยภาพในการพัฒนาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพช่วยส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทยส่วนใหญ่ รวมถึงสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว การผลิต และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนน้ำและภัยพิบัติทางน้ำ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่น<br /> บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับการพัฒนาท้องถิ่นไทย โดยพิจารณาผลกระทบของการจัดการน้ำที่มีต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำ อาทิ ปัญหาภัยแล้ง <em><br /></em>น้ำท่วม และคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรม ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของท้องถิ่นไทย</p> จิณณวัฒน์ รัตนโยธาสกุล จักรวาล สุขไมตรี Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-06 2025-03-06 3 2 17 31 การบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนการสอนในยุคดิจิทัลด้วย A-3T-S-E โมเดล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1986 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล การบริหารสถานศึกษานี้เพื่อพัฒนาการสอนของผู้สอนและยกระดับคุณภาพของผู้เรียน การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยียุคดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา และรูปแบบการบริหารสถานศึกษาแบบดั้งเดิมควรจะปรับตัวให้เข้ากับความต้องการด้านการเรียนการสอนในยุคใหม่ จากการศึกษาเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ผู้บริหาร การสอน การเรียนรู้ และคุณลักษณะของผู้บริหารและครูในยุคดิจิทัล จึงได้นำเสนอรูปแบบใหม่เพื่อการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนการสอนในยุคดิจิทัลที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ รูปแบบ A-3T-S-E</p> <p>รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล มุ่งเน้นที่การปรับวิธีการสอนและยกระดับคุณภาพการเรียนของนักเรียน รู้จักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการในสถานศึกษา การสร้างสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่เอื้อต่อการใช้งานเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และบทความนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาที่ต้องการก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน</p> LU RUI LIN สาโรจน์ เผ่าวงศากุล Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-07 2025-03-07 3 2 32 46 GUIDELINES FOR ESG MANAGEMENT IN COMPREHENSIVE HEALTH AND BEAUTY SUPPLEMENT BUSINESSES WITH BEST PRACTICES FOR SUSTAINABILITY https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1784 <p>-</p> <p>This research aimed to: (1) study the current and desired states of ESG (Environmental, Social, and Governance) management in comprehensive health and beauty supplement businesses with good sustainability practices, and (2) propose guidelines for ESG management in these businesses. The sample consisted of 400 participants, including executives, employees, and stakeholders, selected through multi-stage sampling. A quantitative research methodology was employed, using a five-point Likert scale questionnaire as the research instrument. Data were analyzed using mean and standard deviation statistics.</p> <p>The findings revealed that: (1) the current state of ESG management, both overall and in specific dimensions, was at a moderate level, whereas the desired state, both overall and in specific dimensions, was at a high level;(2) proposed guidelines for improving ESG management include adopting sustainable processes, enhancing transparency in governance, emphasizing social responsibility, and integrating strategic ESG practices into operations. Achieving these objectives is critical for ensuring long-term sustainability and growth.</p> Ntapat Worapongpat Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-07 2025-03-07 3 2 47 69 ปัจจัยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มสตรีในจังหวัดปทุมธานี https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1964 <p> การศึกษานี้มีเป้าหมายเพื่อ 1) สำรวจระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในจังหวัดปทุมธานี 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในพื้นที่ดังกล่าว และ 3) นำเสนอแนวทางพัฒนาเพื่อส่งเสริมบทบาททางการเมืองของกลุ่มสตรี การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยอ้างอิงแนวคิดและทฤษฎีของนอร์แมน ไน และซิดนีย์ เวอร์บา ในส่วนของการศึกษาภาคปริมาณ กลุ่มประชากรเป้าหมายคือสตรีที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 632,655 คน กลุ่มตัวอย่างถูกกำหนดตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้จำนวน 384 คน ขณะที่การศึกษาเชิงคุณภาพมีการสัมภาษณ์ข้าราชการสตรี กลุ่มแม่บ้าน และนักการเมืองสตรีในจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 15 คน โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลอาศัยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในจังหวัดปทุมธานีโดยรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่ามี 4 ด้านที่อยู่ในระดับสูง และ 1 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางสังคมมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางการเมืองมีค่าคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด 2) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มสตรีโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมี 2 ด้านที่อยู่ในระดับสูง และอีก 2 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง กิจกรรมที่มีการมีส่วนร่วมมากที่สุดคือการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง รองลงมาคือการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่การรณรงค์หาเสียงและการเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่างขององค์กรเป็นกิจกรรมที่มีการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด 3) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสาร ด้านสิ่งแวดล้อมทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อมทางการเมืองมีผลต่อการมีส่วนร่วมของสตรีอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยด้านจิตวิทยาไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในจังหวัดปทุมธานี<br /> ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมบทบาทของสตรีในกระบวนการทางการเมือง รวมถึงออกแบบมาตรการที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของสตรีในสังคมการเมืองต่อไป</p> ชนัญชิดา กั้ววิจารย์ ธนกฤต โพธิ์เงิน สมนึก สอนเนย Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-07 2025-03-07 3 2 70 91 การศึกษาความกังวลของประชาชนต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการ เฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยสาธารณะ: กรณีศึกษาระบบขนส่งมวลชน BTS และ MRT* https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1996 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความกังวลของประชาชนต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยในระบบขนส่งมวลชน BTS และ MRT (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการใช้ AI ในการเฝ้าระวังความปลอดภัย (3) เพื่อประเมินความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์และประมวลผลพฤติกรรมของผู้โดยสารในระบบขนส่งมวลชน และ (4) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยที่ใช้ AI ให้สอดคล้องกับความต้องการและความเป็นส่วนตัวของประชาชน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลัก กลุ่มตัวอย่างคือผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบขนส่งมวลชน BTS และ MRT จำนวน 500 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ข้อมูลที่ได้รับถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการทดสอบสมมุติฐานเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความกังวลของประชาชน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีระดับความกังวลในระดับสูง โดยเฉพาะในประเด็นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ค่าเฉลี่ยระดับความกังวลอยู่ในช่วง 3.8 ถึง 4.2 การรับรู้ถึงความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับความกังวล (r = 0.72<em>,</em> p &lt; 0.01) ในขณะที่การรับรู้ถึงประโยชน์ของ AI (r = -0.45, p = 0.05) และความโปร่งใสในการจัดการข้อมูล (r = -0.60, p = 0.02) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับระดับความกังวล นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 85% สนับสนุนให้หน่วยงานเปิดเผยนโยบายการจัดการข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอย่างโปร่งใส ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้ระบุว่าควรมีการพัฒนามาตรการเฝ้าระวังที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยเน้นการสื่อสารถึงประโยชน์ของ AI การจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และการรักษาความเป็นส่วนตัวในระดับที่เพียงพอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ AI ในการเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัย</p> อัจจิมา ศุภจริยาวัตร เจนวิทย์ ข้าวทวี ภัทรี ฟรีสตัด สุรัสวดี บวรพศวัตกิตติ์ กฤตศิกาญจน์ ธีรโชคสวัสดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-20 2025-03-20 3 2 92 110 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวตลาดน้ำเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านวัฒนธรรมอาหารไทย ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/1991 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. พฤติกรรมและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนตลาดน้ำ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 3. แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวตลาดน้ำเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารไทย การศึกษานี้ใช้ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลผ่าน การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) <strong> </strong>กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 21 คน ประกอบด้วย (1) นักท่องเที่ยว (2) ผู้ประกอบการตลาดน้ำ และ (3) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอาหารไทย จากตลาดน้ำที่ได้รับความนิยม 3 แห่ง ได้แก่ ตลาดน้ำดอนหวาย ตลาดน้ำตลิ่งชัน และตลาดน้ำคลองลัดมะยม ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธี การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) และการวิเคราะห์แบบอุปนัย (Inductive Analysis) เพื่อสรุปประเด็นสำคัญจากข้อมูลที่ได้</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับ รสชาติอาหาร (95%) บรรยากาศของตลาด (92%) และความสะอาดของตลาด (90%) เป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางมายังตลาดน้ำ ขณะที่ สิ่งอำนวยความสะดวก (76%) และความสะดวกในการเดินทาง (82%) ยังเป็นปัจจัยที่ควรได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม</li> <li>ผู้ประกอบการตลาดน้ำพบว่า การเล่าเรื่องอาหารไทย (85%) เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้า แต่ยังมีปัญหาสำคัญ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบสูง (78%) และขาดการเข้าถึงตลาดออนไลน์ (65%) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์</li> <li>แนวทางการพัฒนาตลาดน้ำเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารไทย ควรเน้น การสนับสนุน Soft Power ผ่านอาหารไทย (96%) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (92%) และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดน้ำ (90%) ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ตลาดน้ำกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต</li> </ol> <p> </p> อุดม สมบูรณ์ผล จิรศักดิ์ จิยะจันทน์ อัจจิมา ศุภจริยาวัตร สุรัสวดี บวรพศวัตกิตติ์ เจนวิทย์ ข้าวทวี Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-20 2025-03-20 3 2 111 127 สติปัฎฐาน 4 กับการดำเนินชีวิตในสังคมไทย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2046 <p>บทความนี้ใช้การศึกษาวรรณกรรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยอ้างอิงหลักพุทธปรัชญาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทของสติปัฏฐาน 4 ในสังคมไทย สติปัฏฐาน 4 คือการฝึกสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ (1) กายานุปัสสนา พิจารณากายว่าเป็นเพียงธาตุรวมกัน (2) เวทนานุปัสสนา พิจารณาความรู้สึกว่าเป็นเพียงเวทนา (3) จิตตานุปัสสนา พิจารณาสภาพจิตตามความจริง (4) ธัมมานุปัสสนา พิจารณาธรรมตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นและดับไป สติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นแนวทางการฝึกสติในพระพุทธศาสนา ตลอดจนวิเคราะห์บทบาท และประโยชน์ของสติปัฏฐาน 4 ในการดำเนินชีวิตของคนไทยในบริบทปัจจุบัน โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการมีสติในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม นอกจากนี้ บทความยังมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐาน 4 ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลง </p> <p> ผลการศึกษานี้เน้นความสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ในการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทของการฝึกสติในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และความสมดุลในสังคมไทย บทความยังอธิบายหลักสติปัฏฐาน 4 ในเชิงพุทธปรัชญา พร้อมทั้งวิเคราะห์การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงข้อจำกัดและความท้าทายต่าง ๆ การฝึกสติผ่านกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา ช่วยให้เกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น ลดความขัดแย้ง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ในสังคม การประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นแนวทางสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและสมดุล</p> พระครูสังฆรักษ์ธัมมานุสรณ์ ธัมมานุสรโณ พระราชเขมากร Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-20 2025-03-20 3 2 128 141 พุทธศาสนาเถรวาท https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2007 <p>พุทธศาสนาเถรวาท เป็นหนึ่งในนิกายสำคัญของพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ศรีลังกา เมียนมา ลาว และกัมพูชา คำสอนของพุทธศาสนาเถรวาทมุ่งเน้นการรักษาหลักธรรมดั้งเดิมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งถือเป็นแหล่งคำสอนที่บริสุทธิ์และเป็นพื้นฐานของแนวทางปฏิบัติสู่การดับทุกข์และบรรลุนิพพาน</p> <p> หนังสือ "พุทธศาสนาเถรวาท" โดย ศาสตราจารย์ ดร.วัชระ งามจิตรเจริญ เป็นงานวิชาการที่มุ่งนำเสนอแนวคิด คำสอน และหลักปรัชญาของพุทธศาสนาเถรวาทในเชิงลึก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจโครงสร้างแนวคิดหลักของพุทธศาสนาเถรวาทอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเชื่อมโยงคำสอนเหล่านี้กับแนวคิดปรัชญาและศาสตร์สมัยใหม่</p> พระปรีชา ถิรปุญฺโญ (สีหะอำไพ) สมเดช นามเกตุ พระครูจิรธรรมธัช Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 142 158 เราเชื่อแบบไหน ชีวิตจักเป็นเช่นนั้น: หลักความเชื่อที่สร้างพลัง อันยิ่งใหญ่ของชีวิต https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2101 <p>หนังสือ “เราเชื่อแบบไหน ชีวิตจักเป็นเช่นนั้น : หลักความเชื่อที่สร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ของชีวิต” โดย พระธรรมาจารย์ชอชานนิม (Chwasannim) ได้นำเสนอหลักความเชื่อที่ทรงพลัง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน ความเชื่อไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่อยู่ในจิตใจ แต่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่กำหนดการกระทำและผลลัพธ์ในชีวิต หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของความเชื่อในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยอธิบายถึงบทบาทของความเชื่อในทางจิตวิทยาและทางธรรม ผ่านหลักคำสอนของ พุทธศาสนานิกายวอน (Won Buddhism) ความเชื่อถูกนำเสนอในฐานะเป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงชีวิต และเปิดทางสู่การตื่นรู้ หนังสือเล่มนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีศรัทธาที่ถูกต้องและการปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่อขจัดความสับสนและความไม่เชื่อที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณด้วยเนื้อหาที่ลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยปัญญา</p> พระครูสังฆรักษ์ธัมมานุสรณ์ (ธัมมานุสรโณ) Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 159 171 สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2109 <p>หนังสือ “สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา” เป็นผลงานที่รวบรวมและเรียบเรียงขึ้นจากบทความที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์มติชนวันอาทิตย์ นับเป็นงานเขียนที่ให้ทั้งสาระความรู้ และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน โดยเนื้อหามุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์ บุคคล และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งบางเรื่องเป็นสิ่งที่น่าจดจำและควรถือเป็นแบบอย่าง ในขณะที่บางเรื่องก็เป็นเพียงสิ่งที่ควรรู้ไว้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแรกในพระพุทธศาสนาอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระปราชิกคนแรก อุบาสกอุบาสิกาคู่แรก พระธรรมเทศนากัณฑ์แรก สามเณรรูปแรก พระราชาผู้ทรงนับถือพระพุทธศาสนาองค์แรก ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญ เช่น การสังคายนาครั้งแรก และการเกิดขึ้นของนิกายต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา โดยเนื้อหาถูกถ่ายทอดด้วยสำนวนภาษาที่อ่านง่ายและเข้าถึงได้สำหรับผู้อ่านทั่วไป แตกต่างจากงานเขียนเชิงวิชาการที่มักจะมีความซับซ้อนและเข้าใจยาก จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ คือการนำเสนอเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย มีการใช้ภาษาสบาย ๆ เป็นกันเอง ทำให้สามารถเข้าถึงผู้อ่านได้กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นนิสิต นักศึกษาหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา</p> ธัญชนก ปราบพาล Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 172 184 กลยุทธ์การสื่อสารในสังคมโลกาภิวัตน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2121 <p>กลยุทธ์การสื่อสารในสังคมโลกาภิวัตน์ เป็นบทความวิชาการที่ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ 1. แนวการคิดด้านการสื่อสารในสังคมโลกาภิวัตน์ ด้วยการใช้ภาษาที่นานาชาติในพื้นถิ่นของภาษาไทยที่สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน 2. Trends ของกลยุทธ์การสื่อสารในสังคมโลกาภิวัตน์ โดยผู้เขียนได้ศึกษาเอกสารตำรา แนวคิดทฤษฎี งานวิจัยและข้อมูลข่าวสารวิถีสังคมไทย สังคมโลกแล้วสังเคราะห์ข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1. กลยุทธ์การสื่อสาร 2. การใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ประกอบด้วย (1) การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารด้วยการฟัง (2) การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารด้วยการพูด (3) การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารด้วยการอ่าน (4) การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารด้วยการเขียน 3. การใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ประกอบด้วย <br />(1) การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ (2) กลยุทธ์ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ (3) การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในบทบาทภาษากลางของโลก (World Englished: WE) <br />(4) ความสำคัญและประโยชน์ของ World Englishes ต่อการสื่อสารในสังคมโลกาภิวัฒน์ <br />(5) Trends ของ World Englishes ที่ใช้ในปัจจุบัน (6) ปัญหาของการใช้ World Englishes ในการสื่อสาร (7) การใช้ภาษาอังกฤษในประเทศไทยในฐานะ World Englishes 4. การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการสื่อสาร ประกอบด้วย (1) นิยาม และลักษณะการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (2) ประเภทของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน และ 5. Trends ของกลยุทธ์การสื่อสารในสังคมโลกาภิวัตน์ </p> ปราณีต ม่วงนวล อรุณวรรณ ชูสังกิจ ยอร์ช เสมอมิตร สุวรรณ ม่วงนวล วิโรจน์ เจษฎาดิลก Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 185 210 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง ลำพูน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2078 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2. ศึกษาระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 3.ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 4. สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 310 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณด้วยวิธีการ Stepwise</p> <p> จากผลวิจัย พบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2. ระดับของการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการเรียนรู้เป็นทีม ด้านการเป็นบุคคลรอบรู้ ด้านแบบแผนทางความคิด ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และด้านการคิดเชิงระบบ 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ คือด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านการกระตุ้นทางปัญญา และด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ซึ่งสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสมการพยากรณ์องค์กรแห่งการเรียนรู้ในรูปคะแนนดิบ คือ = 1.530 + 0.714(𝑥4) + 0.584(𝑥3) - 0.630(𝑥1) และสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน = 0.759(Z𝑥4) + 0.568(Z𝑥3) - 0.591(Z𝑥1)</p> รัชดาวรรณ เยินยุบ วรรณากร พรประเสริฐ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 211 227 THAILAND AND KOREAN CROSS-CULTURAL COMMUNICATIONS IN USING SOFT-POWER ETHICS https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2191 <p>In the era of globalization, soft power has become a vital tool for developing countries to build international relationships and cultivate alliances. This research conducts a qualitative secondary analysis comparing the core soft power strategies utilized by South Korea and Thailand in their nation-rebranding efforts and cultural diplomacy initiatives. It also examines the fundamental principles, customs, and cultural exports emphasized in each country's soft power approach.</p> <p>The study evaluates the successes and limitations of both strategies through international public opinion polls and global soft power rankings. It further explores how each country tailors its messaging and outreach based on target audiences. The findings reveal that both nations rely on popular media and creative content to enhance international appeal. South Korea emphasizes contemporary pop culture, such as K-dramas and K-pop, to project a modern and dynamic image, whereas Thailand highlights traditional arts and performances to showcase its timeless cultural heritage. Korea adopts a branding strategy cantered on innovation and youthfulness, while Thailand’s approach focuses on hospitality and spiritual harmony. These insights offer valuable implications for scholars and practitioners working on soft power strategies.</p> Tiwa Park Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 228 248 คุณคือพลาซีโบ : ทำความคิดให้ออกฤทธิ์กับสุขภาพ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2181 <p>หนังสือ “คุณคือพลาซีโบ : ทำความคิดให้ออกฤทธิ์กับสุขภาพ” โดย Dr. Joe Dispenza ได้นำเสนอแนวคิดที่พลิกโฉมวงการแพทย์และจิตวิทยา ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า “ความคิด” และ “ความเชื่อ” สามารถส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและร่างกายของเรา หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเขียนเกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกเท่านั้น แต่ยังเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และจิตวิญญาณที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ในหนังสือเล่มนี้จัดว่าเป็นวรรณกรรมด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแพทย์ที่ ดร.โจ ดิสเพนซา นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ“พลาซีโบ” ในฐานะวิธีการรักษาทางการแพทย์ โดยเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขา เมื่อได้รับอุบัติเหตุรุนแรงจนกระดูกสันหลังหัก แต่ปฏิเสธการผ่าตัดและเชื่อมั่นในพลังการรักษาตนเอง หลังจากหายดี ใน 9 สัปดาห์ เขาเริ่มสนใจ “การหายจากโรคอย่างฉับพลัน” และเดินทางค้นคว้าทั่วโลก ศึกษาผู้ป่วยที่ฟื้นตัวอย่างน่าประหลาดใจจากโรคร้ายโดยไม่ใช้การแพทย์แผนปัจจุบัน</p> พระครูภาวนาปัญญาคุณ (ศุภกร ญาธนัช) Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 249 262 ความคิดเห็นของลูกค้าต่อคุณภาพการให้บริการของสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานคร https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2095 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับความคิดเห็นของลูกค้าต่อคุณภาพการให้บริการของสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานคร 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของลูกค้าต่อคุณภาพการให้บริการของสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและ รายได้ กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือลูกค้าที่เข้ามาใช้บริสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 4 แห่ง ผู้วิจัยจึงใช้ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ</p> <p><strong> </strong></p> <p> </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับความคิดเห็นของลูกค้าต่อคุณภาพการให้บริการด้านสวนสนุก โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของลูกค้าต่อคุณภาพการให้บริการของสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานครพบว่า ลูกค้าที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและ รายได้ ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อต่อคุณภาพการให้บริการของสวนสนุกในศูนย์การค้าเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> ภูวนาถ บางพาน เบญยาศิริ งามสอาด Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-03-27 2025-03-27 3 2 263 278 การปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2048 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อศึกษาการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. เพื่อเปรียบเทียบการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พระสงฆ์ในเขตพื้นที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 175 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางสถิติ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1. การปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักอุเบกขา รองลงมา คือ ด้านการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักมุทิตา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักเมตตา 2. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า พระสงฆ์ที่มีอายุ และพรรษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่แตกต่างกัน ส่วนพระสงฆ์ที่มีวุฒิการศึกษาสามัญ และวุฒิการศึกษาทางธรรมต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะ คือ วางตนเป็นกลาง ไม่ให้คุณกับผู้หวังผลประโยชน์ ไม่ให้โทษกับผู้ต่างอุดมคติ, ควรยกย่องพระสงฆ์ หรือคฤหัสถ์ที่ทำประโยชน์แก่ชุมชน และไม่ควรปกป้องพระสงฆ์ที่กระทำผิด เนื่องด้วยเป็นสหาย สนิทกัน หรือมีประโยชน์ร่วมกัน</p> พระโชติพันธุ์ สุโชติโก (เกิดสุภาพ) เกษฎา ผาทอง Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 279 294 รูปแบบการพัฒนาโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทวิชาชีพ เสริมสวยและความงามเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2182 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง รูปแบบ และการประเมินรูปแบบของการพัฒนาโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทวิชาชีพเสริมสวยและความงามเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ ใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาจากเอกสาร งานวิจัย การสัมภาษณ์ และสอบถามผู้บริหารและครู ทำการวิเคราะห์ Priority Needs Index (PNI) ขั้นตอนที่ 2 สร้างรูปแบบ โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบจากผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. สภาพปัจจุบันของบทบาทของโรงเรียน โดยภาพรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่คาดหวังของบทบาทของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาค่า PNI<sub>modified</sub> พบว่า ด้านการบริหารจัดการ มีค่า PNI<sub>modified</sub> สูงที่สุด รองลงมาเป็นด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน ตามลำดับ</li> <li>2. รูปแบบการพัฒนาโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทวิชาชีพเสริมสวยและความงามเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ ประกอบด้วย 6 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 หลักการของรูปแบบ ส่วนที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ ส่วนที่ 3 เนื้อหาของรูปแบบ ส่วนที่ 4 วิธีดำเนินการของรูปแบบ ได้แก่ BEAUTY SCHOOL MODEL ส่วนที่ 5 การประเมินผลของรูปแบบ ส่วนที่ 6 เงื่อนไขความสำเร็จของรูปแบบ ผลการตรวจสอบรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า รูปแบบ และคู่มือการใช้รูปแบบ มีความเหมาะสม</li> <li>รูปแบบการพัฒนาโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทวิชาชีพเสริมสวยและความงามเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด<strong> </strong></li> </ol> เพ็ญศรี โชติรัตน์ สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ วีณัฐ สกุลหอม Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 295 310 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่าน ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2188 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่านร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่านร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร เป็นการวิจัยในชั้นเรียนโดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2567 จำนวน 41 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่านร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน และ (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยการหาคะแนนเฉลี่ยสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ หลังจากนั้นวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนเรียนและหลังเรียนมาคิดคะแนนเป็น ร้อยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) แลวนำคะแนนมาทดสอบ สมมติฐานโดยใชสถิติ t-test Dependent Sample</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง บทพากย์เอราวัณ โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่าน ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์ 80/80 และมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้คือ 81.85/83.29 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.22 และ 16.66 ตามลำดับ</li> <li>เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ .05</li> </ol> ศรมณี ชัยพัฒน์ สุภัทร แก้วพัตร Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 311 324 การพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ของสถานศึกษาเอกชน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2179 <p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษาเอกชน จากการศึกษาพบว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์เป็นการบูรณาการการบริหารทรัพยากรมนุษย์เข้ากับกระบวนการในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษาและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ของสถานศึกษา และเชื่อมโยงเข้ากับแนวปฏิบัติด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 5 ด้านได้แก่ การวางแผนกำลังคน การสรรหาและการคัดเลือก การธำรงรักษาบุคคล การประเมินผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากร รวมถึงเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษา เมื่อสถานศึกษาสามารถบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกลยุทธ์แล้วก็จะส่งผลให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมุ่งเน้นที่ทักษะ ความมุ่งมั่น และแรงจูงใจ สามารถนำพาสถานศึกษาไปในทิศทางที่ก้าวหน้าและรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันภายใต้กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ ช่วยให้ผู้บริหารมีการทำงานเชิงรุกกำหนดทิศทางแก่บุคลากรในสถานศึกษา สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และช่วยให้สถานศึกษาสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ภารกิจและวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษาเอกชน ประกอบด้วย มีการประเมินความพร้อมของสถานศึกษา สร้างและทำให้กรอบการทำงานของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นที่ยอมรับ ผู้บริหารต้องมีบทบาทสำคัญในการเป็นนักออกแบบองค์การ ผู้บริหารทุกระดับมีส่วนร่วมในการช่วยผลักดันให้กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์และกลยุทธ์ของสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ กำหนดแผนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับทิศทางของ และสถานศึกษาจะต้องมีการประเมินและยกระดับคนเก่งในสถานศึกษา</p> ประจักษ์ เอนกฤทธิ์มงคล รักชนกชรินร์ พูลสุวรรณนธี วรรณรี ปานศิริ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 325 343 การศึกษาผลกระทบในการใช้บทเรียนออนไลน์ต่อการฝึกปฏิบัติงาน ในการดูแลผู้ป่วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ของนักศึกษารังสีเทคนิค คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2193 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาคะแนนหลังเรียนบทเรียนออนไลน์ในการฝึกปฏิบัติงานการดูแลผู้ป่วยทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ของนักศึกษาหลักสูตรรังสีเทคนิค 2. เพื่อศึกษาผลกระทบในการใช้บทเรียนออนไลน์ต่อการฝึกปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ของนักศึกษารังสีเทคนิค และ 3. เพื่อศึกษาผลกระทบของการใช้บทเรียนออนไลน์ต่อการปฏิบัติเพื่อการป้องกันอันตรายจากรังสีในการฝึกปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ของนักศึกษาหลักสูตรรังสีเทคนิค การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรรังสีเทคนิค สาขาวิชารังสีวิทยา จำนวน 31 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินผลการฝึกปฏิบัติงาน และแบบรายงานผลการประเมินปริมาณรังสีประจำตัวบุคคลด้วยแผ่นวัดรังสีโอเอสแอล (OSL) สถิติที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ผลคะแนนหลังการเรียนบทเรียนออนไลน์ นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 9.48 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยมีนักศึกษาจำนวน 21 คนสอบผ่านเกณฑ์ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 67.74</li> <li>ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติงานหลังจากฝึกปฏิบัติงาน 6 สัปดาห์ พบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยใน 3 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ด้านการประเมินด้านความรู้และเข้าใจขั้นตอนการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ต่าง ๆ เช่น Bone scan, Myocardial perfusion, Renal scan, ด้านมีความรู้และเข้าใจขั้นตอนการเตรียมสารเภสัชรังสีและการควบคุมคุณภาพสารเภสัชรังสี และด้านอธิบายคำแนะนำต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจง่าย ถูกต้องชัดเจน เป็นลำดับ ส่วนในด้านความตระหนักถึงความปลอดภัยทางรังสีที่ได้รับคะแนน อยู่ในระดับดี</li> <li>ผลการประเมินการได้รับปริมาณรังสีจากแผ่นวัดรังสีชนิดโอเอสแอล (OSL) พบว่า นักศึกษามีค่าเฉลี่ยปริมาณรังสีรายบุคคลเท่ากับ 34.29 ไมโครซีเวิร์ต ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยและต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง 3 ปีย้อนหลัง ในปี 2564, ปี 2565, และปี 2566 เท่ากับ 56.82, 142.42, และ 49.36ไมโครซีเวิร์ต ตามลำดับ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากันมาก</li> </ol> <p>ซึ่งผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าบทเรียนออนไลน์มีผลต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ของนักศึกษารังสีเทคนิคในการดูแลผู้ป่วยทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ และสามารถช่วยลดการได้รับปริมาณรังสีในระดับที่ปลอดภัยได้</p> ปวรินทร์ ก้องพิริยะกุล ไชยยันต์ ปาละมาณ จงวัฒน์ ชีวกุล Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 344 364 แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจการให้บริการรถบรรทุกขนส่งน้ำมันและโลจิสติกส์ ในประเทศไทย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2214 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จ 2. วิเคราะห์สมการโครงสร้างความสำเร็จและ 3. พัฒนาแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจการให้บริการรถบรรทุกขนส่งน้ำมันและโลจิสติกส์ในประเทศไทย โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ของแฮร์ และคณะซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร จำนวน 400 กิจการ ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 10 ท่าน ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้จัดการ และหัวหน้างาน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างโดยโปรแกรมลิสเรล </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>นวัตกรรมโซ่อุปทาน การดำเนินงานของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ มีอิทธิพลทางตรง ทางอ้อม และอิทธิพลรวมของความสำเร็จของธุรกิจการให้บริการรถบรรทุกขนส่งน้ำมันและโลจิสติกส์ในประเทศไทย ซึ่งค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องของโมเดล</li> <li>ผลการวิเคราะห์มีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Model Fit) มีค่าทดสอบคือ Chi-square = 28.731, df = 28, P = 0.465, CMIN/df = 1.096, GFI = 0.929, CFI = 0.999, AGFI = 0.775, NFI = 0.984, RMR = 0.005 และ RMSEA = 0.016 และแบบจำลองมุ่งเน้นความสำเร็จของธุรกิจการให้บริการรถบรรทุกขนส่งน้ำมันและโลจิสติกส์ มีความสัมพันธ์กันเมื่อพิจารณาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรของการปรับโมเดล</li> <li>การพัฒนาแบบจำลองนวัตกรรมโซ่อุปทานสําหรับการดําเนินงาน และความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ ประกอบด้วย นวัตกรรมโซ่อุปทาน การดําเนินงานของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ 4 องค์ประกอบ คือ นวัตกรรมโซ่อุปทาน การดําเนินงานของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ และความสำเร็จของธุรกิจให้บริการรถบรรทุกสินค้าและโลจิสติกส์</li> </ol> กาญจนา อินทศร สุชาติ ปรักทยานนท์ บุรพร กำบุญ ทิพย์ลาวัลย์ แก้วนิล Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 365 382 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ชนิดของประโยค โดยการใช้รูปแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 3 บ้านเหล่า https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2190 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง ชนิดของประโยค สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการจัดการเรียนรู้รูปแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง ชนิดของประโยค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3</p> <p>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาล 3 บ้านเหล่า อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) จำนวน 5 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย จำนวน 20 ข้อ โดยการหาคะแนนเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ หลังจากนั้นวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) แล้วนะคะแนนมาทดสอบสมมุติฐานโดยใช้สถิติ t-test Dependent Sample</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของประโยค โดยการใช้รูปแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 93.60/80.17 แสดงว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ร้อยละ 75 และสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของประโยค โดยการใช้รูปแบบ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีนัยสําคัญที่ 0.05 ซึ่งนักเรียนได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 5.63 คิดเป็นร้อยละ 28.71 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.79 และได้คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.03 คิดเป็นร้อยละ 80.20 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.40 แสดงว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> รุ่งนภา แสงวิชัย นุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุล Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 383 396 แนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2208 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู 2. เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู และ 3. เพื่อประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู โดยการสร้างแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แล้วนำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 147 โรงเรียน โดยมีผู้ให้ข้อมูลจำนวน 441 คน และวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัจจุบัน จากนั้นจัดลำดับความสำคัญของแต่ละด้านโดยการเรียงตามค่าเฉลี่ยของแต่ละด้านจากมากไปน้อย ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริม การปฏิบัติงานของครู โดยการยกร่างแนวทางโดยผู้วิจัย แล้วสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน จากนั้นร่างแนวทางการการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู และระยะที่ 3 ประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 30 คน โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้เป็นระดับมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลำดับ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุดคือ ด้านการบริหารงานทางวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม และด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย</li> <li>แนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู มีจำนวนทั้งสิ้น 5 องค์ประกอบ และนำมายกร่างร่วมกับผลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แนวทางจำนวน 13 แนวทาง</li> <li>การประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> สุวิมล บรรลือทรัพย์ วัชราภรณ์ เรืองสิทธิ์ ทรงเดช สอนใจ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 397 419 การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Venous Thromboembolism) ของผู้ป่วยศัลยกรรมที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2194 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันของผู้ป่วยศัลยกรรมที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และ 2. เพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันของผู้ป่วยศัลยกรรมที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ แพทย์และพยาบาล จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. โปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันสามารถใช้งานได้จริงตรงตามวัตถุประสงค์และความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์</li> <li>2. ผลการประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประสิทธิภาพของโปรแกรม ด้านการออกแบบ ด้านการบริการ ด้านการนำไปใช้งาน และความพึงพอใจโดยรวม อยู่ในระดับดีมาก โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพของโปรแกรมที่ได้รับคะแนนสูงสุด คือ x̄ = 4.31 และD. = 0.64</li> </ol> <p>สรุปได้ว่าโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดอุดตันของผู้ป่วยศัลยกรรมที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบโจทย์การใช้งานจริง</p> ไชยยันต์ ปาละมาณ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 420 439 ปัจจัยที่มีผลกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2183 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา 2. เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา และ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 163 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <ol> <li>1. ระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ( = 4.33)</li> <li>2. ปัจจัยที่มีผลกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ( = 4.45)</li> <li>3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนรู้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู วิทยาลัยนครราชสีมา อยู่ในระดับสูง (r=.831<strong>) </strong>เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า คู่ที่มีความสัมพันธ์สูงที่สุด คือ ด้านการยอมรับตนเอง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาในระดับค่อนข้างสูง (r=.752) รองลงมาคือ ด้านแรงจูงใจในตนเอง ในระดับค่อนข้างสูง (r=.722) และด้านบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา ในระดับปานกลาง (r=.598)</li> </ol> ณัทปภา สุริยะ นัยนา ช่ำชอง สุวัฒน์ อาษาสิงห์ จำรัส มุ่งเฝ้ากลาง Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-02 2025-04-02 3 2 440 455 การจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2241 <p>การศึกษานี้มีเป้าหมายเพื่อ 1. วิเคราะห์ระดับปัจจุบันของการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุคดิจิทัล 2. เปรียบเทียบแนวทางการบริหารจัดการระบบดังกล่าวในสถานศึกษาที่มีขนาดแตกต่างกัน และ 3. เสนอและประเมินแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ การดำเนินงานวิจัยแบ่งออกเป็นสองระยะ โดยระยะแรกเป็นการศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันและการเปรียบเทียบการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารและครูผู้รับผิดชอบในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ จำนวน 140 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบความแตกต่างโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ระยะที่สองเป็นการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนผ่านการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) จากนั้นทำการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) แปลผลโดยนำค่าเฉลี่ยมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดเป็นช่วงตามค่าคะแนน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. สถานภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์อยู่ในระดับสูง</li> <li>2. เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสถานศึกษาขนาดต่าง ๆ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> <li>3. แนวทางการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ได้จากการศึกษาครอบคลุม 5 ด้าน รวม 15 แนวทาง ซึ่งได้รับการประเมินว่ามีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในระดับสูง</li> </ol> นัดอนงค์ บุญเลื่อน ธัญเทพ สิทธิเสือ ศุภธนกฤษ ยอดสละ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 456 471 พลวัตทางสังคมที่ส่งผลต่อวิกฤตสุขภาพจิต https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2256 <p>พลวัตทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อวิกฤตสุขภาพจิตมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายมิติ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางสังคม เช่น การแพร่ระบาดของโรคหรือภัยพิบัติ</p> <p>การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสามารถนำไปสู่ความเครียดทางการเงินและการสูญเสียความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดความเหงาและโดดเดี่ยวในสังคม ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางค่านิยมและวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางสังคมสามารถทำให้บุคคลหรือชุมชนต้องเผชิญกับความท้าทายทางสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล</p> <p>การรับมือกับวิกฤตสุขภาพจิตที่เกิดจากพลวัตทางสังคมจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจในระดับบุคคลและชุมชน การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและการสร้างเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมที่เข้มแข็งเป็นสิ่งสำคัญ ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรับมือที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตสุขภาพจิตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบุคคลและชุมชนในระยะยาว</p> พระครูวิวิธธวัชชัย (ภัทรเวทช์ วรปุญโญ) วรดีพัฒนรัตน์ มะลิ ทิพพ์ประจง Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 472 487 มุมมองการจัดการศึกษายุคใหม่ยุคไร้พรมแดน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2255 <p>การศึกษายุคใหม่ในยุคไร้พรมแดนสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในกระบวนการเรียนรู้และการสื่อสารในสังคมโลก โดยเฉพาะในแง่ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งทำให้การศึกษากลายเป็นสิ่งที่ไม่จำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง การเรียนรู้ในยุคนี้สามารถเข้าถึงได้จากทุกมุมโลกไม่ว่าจะเป็นเวลาใดและสถานที่ใด โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตามความต้องการของผู้เรียน การศึกษาที่ยึดตามการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลส่งเสริมทักษะสำคัญในการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่หลากหลายซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะวิชาการและการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้ในยุคนี้จึงไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ในความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจด้วย</p> พระครูวศินวรกิจ (วิชาญ แดงประไพ) มะลิ ทิพพ์ประจง Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 488 496 พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2250 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการหรือหัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคลและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 226 คน ซึ่งสุ่มมาจากจำนวนประชากร 568 คน โดยทำการสุ่มตัวอย่าง 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 สุ่มจำนวนโรงเรียน 25 โรงเรียน เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนโดยใช้ขนาดของโรงเรียนเป็นเกณฑ์ และขั้นตอนที่ 2 ใช้การสุ่มอย่างง่าย เป็นการสุ่มจำนวนครูจากโรงเรียนในแต่ละขนาด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ 1. แบบสอบถามพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่น 0.85 2) 2. แบบสอบถามการปฏิบัติงานของครูมีค่าความเชื่อมั่น 0.893 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson’s product-moment correlation coefficient)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. พฤติกรรมผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2. การปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้บริหารสถานศึกษา (X) กับการปฏิบัติงานของครู (Y) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมและรายด้าน มีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ปัญญา ศิริโชติ เบญจรัตน์ ราชฉวาง ศุภร ธนะภาณะ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 497 514 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2205 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2. เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 3. เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการหรือหัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคลและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 226 คน ซึ่งสุ่มมาจากจำนวนประชากร 568 คน โดยทำการสุ่มตัวอย่าง 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 สุ่มจำนวนโรงเรียน 25 โรงเรียน เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนโดยใช้ขนาดของโรงเรียนเป็นเกณฑ์ และขั้นตอนที่ 2 ใช้การสุ่มอย่างง่าย เป็นการสุ่มจำนวนครูจากโรงเรียนในแต่ละขนาด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8560 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวม มีภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก 2. การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 สามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้ร้อยละ 87.79 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบคือ <strong>Ŷ</strong> = 3.727 + .624(L<sub>5</sub>)+.575(L<sub>1</sub>) + .657(L<sub>2</sub>) และสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ = .763(L<sub>5</sub>) + .693(L<sub>1</sub>)+.621(L<sub>2</sub>)</p> ปัญญา ศิริโชติ วิชชุดา เพิ่มเดช เทพนารินทร์ ประพันธ์พัฒน์ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 515 534 การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลของหน่วยงานรัฐกับหลักนิติธรรม : กรณีศึกษามาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2213 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขอบเขตและหลักเกณฑ์ของมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 รวมถึงวิเคราะห์ความสอดคล้องของมาตราดังกล่าวกับหลักนิติธรรมและเสรีภาพในการแสดงออก นอกจากนี้ ยังพิจารณาประสิทธิภาพของกลไกการกำกับดูแลของภาครัฐในการระงับหรือลบข้อมูลบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนเปรียบเทียบแนวทางการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลในต่างประเทศที่มีมาตรการคุ้มครองสิทธิประชาชนที่เข้มแข็ง เพื่อหาแนวทางปรับปรุงกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับหลักนิติธรรมมากขึ้น การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เอกสารทางกฎหมาย บทความวิชาการ และกรณีศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เพื่อประเมินความสอดคล้องของกฎหมายกับหลักนิติธรรม</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า มาตรา 20 ยังมีข้อจำกัดด้านหลักนิติธรรมในหลายประการ ได้แก่ ความไม่ชัดเจนของนิยามคำว่า “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” การขาดกลไกอุทธรณ์ที่มีประสิทธิภาพ และการใช้อำนาจของรัฐที่อาจกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก แม้ว่ากระบวนการพิจารณาของศาลจะช่วยควบคุมการใช้อำนาจรัฐ แต่ยังขาดมาตรฐานที่ชัดเจนในการพิจารณา</p> <p> ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการปรับปรุงมาตรา 20 ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงของรัฐและการคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่ยังช่วยให้การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยมากขึ้น</p> บัณฑิต ขวาโยธา อภิรดี มิ่งวงศ์ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 535 547 การบริหารตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2229 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารตามหลักรับผิดชอบต่อสังคม ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ 2. พัฒนาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักรับผิดชอบต่อสังคม ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ และ 3. ประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักรับผิดชอบต่อสังคม ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสม โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1. การศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคม จากกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและคณะครูจำนวน 148 คน 2. การพัฒนาแนวทางการบริหารสถานศึกษาผ่านกระบวนการระดมสมองจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 ท่าน และ 3. การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหาร โดยผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมของโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์อยู่ในระดับมาก 2. การพัฒนาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคม ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 5 องค์ประกอบ และองค์ประกอบย่อย 6 องค์ประกอบ รวมทั้งหมด 31 แนวทาง และ 3. การประเมินแนวทางการบริหารตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคม พบว่า ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> พชร แรงจบ ศุภธนกฤษ ยอดสละ วสันต์ชัย กากแก้ว Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 548 572 รำฉุยฉายตัวนางที่ปรากฏในละครรำ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2225 <p>งานวิจัย เรื่อง รำฉุยฉายตัวนางที่ปรากฏในละครรำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์การแสดงรำฉุยฉายตัวนางที่ปรากฏในละครรำ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิดีทัศน์การแสดง และสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และนำมาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อจัดหมวดหมู่และตีความข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รำฉุยฉายตัวนางที่ปรากฏในละครรำมีจำนวน 15 ชุด เป็นการรำของตัวละครเอกหรือตัวละครสำคัญในเรื่องนั้น ๆ เมื่อพิจารณาถึงประวัติความเป็นมาของการรำฉุยฉายในแต่ละชุด พบว่า สามารถจำแนกวัตถุประสงค์หลักของการรำฉุยฉายได้ 3 ลักษณะ คือ 1. รำฉุยฉายเพื่อแสดงความภาคภูมิใจในการแต่งกายให้งดงามขึ้น 2. รำฉุยฉายเพื่อแสดงความภาคภูมิใจในความงามของการแปลงกายจากตัวละครหนึ่งไปเป็นอีกตัวละครหนึ่ง และ 3. รำฉุยฉายเพื่อวัตถุประสงค์อื่น สำหรับดนตรีและบทร้อง พบว่า นิยมใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดง ในส่วนของบทร้องที่ใช้ประกอบการแสดง มีลักษณะการประพันธ์ตามฉันทลักษณ์ของกลอนฉุยฉายและกลอนแม่ศรีและการบรรจุเพลงนั้น พบว่า มีทั้งเป็นไปตามโครงสร้างเดิมและแตกต่างไปจากโครงสร้างเดิม สำหรับผู้แสดงต้องคัดเลือกจากรูปร่างสมส่วน หน้าตางาม ดวงตาคมเข้ม บุคลิก นิสัยสอดคล้องตามบทร้อง และที่สำคัญต้องมีทักษะด้านนาฏศิลป์ไทยในขั้นสูง ในส่วนของเครื่องแต่งกาย พบว่า สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การแต่งกายยืนเครื่องตัวนางหรือนางยักษ์ และการแต่งกายตามสถานภาพของตัวละคร ส่วนท่ารำและกระบวนรำ พบว่า เป็นการรำทำบท ตีบท หรือรำใช้บทตามบทร้องและทำนองเพลง โดยจะใช้แม่ท่ามาตรฐานจากรำเพลงช้าเพลงเร็ว รำแม่บท นาฏยศัพท์ และภาษาท่ามาร้อยเรียงขึ้นใหม่ตามประเภทและบทบาทของละคร นั้น ๆ</p> นุชนาฏ ดีเจริญ ลิขิต ใจดี วรวิทย์ ทองเนื้ออ่อน พันธพัฒน์ บุญมา Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-06 2025-04-06 3 2 573 596 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารภาครัฐแบบบูรณาการกับประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2302 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาการบริหารภาครัฐแบบบูรณาการ (2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารภาครัฐแบบบูรณาการกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ การศึกษานี้ได้ดำเนินการโดยใช้วิธีเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 297 คน โดยวิธีแจกแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) การบริหารภาครัฐแบบบูรณาการโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารภาครัฐแบบบูรณาการกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐพบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง (r=.928)</p> จิราภรณ์ ชนัญชนะ พลภัทร บริรักษ์ธนกุล ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร ณัฏฐ์ ตั้งปรีชาพาณิชย์ ไกร บุญบันดาล ณรงค์ ศรีชัยบุญสูง อธิสิทธิ์ นุชเนตร สุทธิพงษ์ จุลเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-08 2025-04-08 3 2 597 611 วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2122 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (2) ศึกษาแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (3) ศึกษาวิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนาของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ การวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสาร และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 34 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูล แล้วใช้การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า การเจริญปัญญาเห็นแจ้งในขันธ์ 5 ผ่านสามัญลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเพื่อคลายความยึดมั่นตัวตน การปฏิบัติแบ่งเป็น 3 วิธี สมถะนำหน้า วิปัสสนามีสมถะนำหน้า และควบคู่กัน สติปัฏฐาน 4 เป็นแนวทางหลัก มหาวิปัสสนา 10 ประการใน วิสุทธิมรรค เน้นพิจารณาความไม่เที่ยง ทุกข์ และอนัตตา ขณิกสมาธิเป็นฐานให้เกิดปัญญาญาณ เพื่อการปล่อยวางและบรรลุวิมุตติ</li> <li>ศึกษาแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พบว่า เน้นการเคลื่อนไหวจังหวะมือเพื่อกระตุ้นความรู้สึกตัว ไม่เน้นสมถะหรือนิ่งสงบ ลืมตาปฏิบัติ ไม่บริกรรม เฝ้าดูความคิดโดยไม่ห้าม ใช้สัมปชัญญะและความเพียรต่อเนื่อง ฝึกจิตให้ตื่นโพลง เห็นความคิดอย่างถูกต้องจนดับไปเอง เป็นการอบรมอินทรีย์ พัฒนาปัญญา ถอนอุปาทานในขันธ์ 5 เพื่อความพ้นทุกข์ เจริญสติในทุกอริยาบถ จนเข้าถึงพุทธะภายในและสู่ความเป็นอริยะ</li> <li>ศึกษาวิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนาของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พบว่า เน้นความแตกต่างระหว่าง "การรู้" และ "การเห็น" ความรู้คือการเข้าไปในความคิด แต่การเห็นคือการหลุดออกจากความคิด หากตามเห็นความคิดอย่างต่อเนื่อง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในโดยฉับพลัน "การรู้ความคิด" เป็นอวิชชา แต่ผู้มีปัญญาสามารถแยกการรู้และการเห็นออกจากกัน นำไปสู่วิชชาและการดับทุกข์ สมุทัยคือตัวคิด ส่วนมรรคคือการใช้สติจับความคิดทันที ไม่ยึดถือ ปล่อยวางให้ขาดไป นี่คือการเจริญ วิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นปัญญากำจัดกิเลสและนำไปสู่นิพพาน</li> </ol> พระสุเมธ สุเมโธ (ใสงาม) บุญส่ง สินธุ์นอก พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน อริย์ธัช เลิศรวมโชค Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-08 2025-04-08 3 2 612 629 การตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี เลือกพรรคการเมือง ในการเลือกตั้งทั่วไป https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2284 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี เลือกพรรคการเมือง 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไป และ 3) เสนอแนวทางการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี กรอบแนวคิดใช้แนวคิดของสมบัติ จันทรวงศ์ วิสุทธิ โพธิ์แท่น ขวัญหทัย แจ่มแจ้ง และณัฐกร วิทิตานนท์ ประชากรได้แก่ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 495,325 คน นำมาคำนวณกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีเปิดตารางของเครจี่และมอร์แกนได้ จำนวน 384 คน การวิจัยเชิงคุณภาพสัมภาษณ์นักการเมืองท้องถิ่นจำนวน 5 คน ข้าราชการจำนวน 5 คน และผู้นำชุมชนจำนวน 5 คน รวมจำนวน 15 คน เครื่องมือการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามที่เป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์นำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์สรุปเนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีเลือกพรรคการเมือง โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านค่าเฉลี่ยมากไปน้อย พบว่า อยู่ในระดับมาก 3 ด้าน และอยู่ในระดับปานกลาง 1 ด้าน ได้แก่ ด้านพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคการเมือง มีค่าเฉลี่ยมากสุด รองลงมา คือ ด้านคุณสมบัติของผู้สมัคร ด้านภาพลักษณ์ของพรรคการเมือง และอยู่ในระดับปานกลาง 1 ด้านคือ ด้านนโยบาย 2) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีในการเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไป พบว่า ปัจจัยจำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านผลประโยชน์หรือผลตอบแทน ด้านความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้สมัคร และด้านคุณสมบัติหัวคะแนน ร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไป ได้ร้อยละ 71.8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการตัดสินใจของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไป ควรดำเนินการเน้นให้มีโครงการรณรงค์ปรับเปลี่ยนความคิดของประชาชนผ่านการอบรมให้ความรู้การเลือกตั้งและกิจกรรมทางการเมืองให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น</p> อัญชลี สีนิล ธนกฤต โพธิ์เงิน วิทยา สุจริตธนารักษ์ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-09 2025-04-09 3 2 630 650 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2322 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล และ 3) เพื่อประเมินแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยการเปิดตารางสำเร็จรูปของทาโรยามาเน่ (Taro Yamane) ได้จำนวน 45 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ผู้แทนครูในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนผู้ปกครองในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานราชการในชุมชน ผู้แทนผู้ประกอบการในชุมชน และผู้แทนผู้ปกครองในชุมชน รวมทั้งหมด 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ แบบสอบถาม แบบสนทนากลุ่ม และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทาง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 พบว่า</li> </ol> <p>1.1 องค์ประกอบของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล มี 6 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 2) ด้านการมีส่วนร่วมในการคิดวางแผน 3) ด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานตามแผน 4) ด้านการมีส่วนร่วมในการกำกับ ติดตาม และประเมินผล 5) ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ และ 6) ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์</p> <p>1.2 สภาพปัจจุบันการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <ol start="2"> <li>แนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยการสนทนากลุ่ม (Focus group) พบว่า ได้แนวทางทั้งหมด จำนวน 6 ด้าน 22 แนวทาง</li> <li>ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้านมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> กัลยา สมปอง นวรัตน์วดี ชินอัครวัฒน์ ทรงเดช สอนใจ พนา จินดาศรี Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-09 2025-04-09 3 2 651 681 INTEGRATING SICHUAN QINGYIN SINGING TECHNIQUES INTO SICHUAN ETHNIC OPERA: A CASE STUDY OF THE OPERA JIANG JIE https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2294 <p>This study examines the innovative application and integration of Sichuan Qingyin singing techniques within the Sichuan ethnic opera Jiang Jie. Through qualitative methods, including in-depth interviews, participant observations, literature analysis, and focus group discussions, the research explores how Qingyin vocal methods, such as the distinctive "Haha tune," melodic leaps, and refined breath control, enhance dramatic expression, musical richness, and cultural authenticity. The study also identifies strategies for preserving traditional Qingyin methods while fostering their adaptation in contemporary contexts. Findings underscore Qingyin's critical role in reinforcing regional musical and cultural identities and propose recommendations for its sustainable integration and innovative development in Sichuan ethnic opera.</p> Min Min Manoon Tho-ard XueSheng Tan Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-09 2025-04-09 3 2 682 700 แนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2349 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลัก สังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 214 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวของการทดสอบ ค่า F-test (One-Way ANOVA)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 โดยรวมอยู่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ การรู้จักนักนักเรียนเป็นรายบุคคล รองลงมาคือ การคัดกรองนักเรียน การส่งต่อ การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ส่วนที่ค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การป้องกันช่วยเหลือและแก้ไข 2) การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อแนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง การคัดกรองนักเรียน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่าง จำแนกตามระดับการศึกษา การป้องกันช่วยเหลือและแก้ไข และการส่งต่อ ไม่แตกต่าง นอกนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน ไม่แตกต่าง 3) แนวทางการบริหารระบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ได้จากการสัมภาษณ์ พบว่า ผู้บริหาร ครู ช่วยเหลือนักเรียนตามขั้นตอน แบ่งเป็นกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา รู้จักนักเรียนรายบุคคล คัดกรองส่งเสริมพัฒนา การป้องกันแก้ไขปัญหาและส่งต่อ</p> ลออ วิลัย วัชรากร เคยบรรจง ประชารัฐ วงศ์ขำ นรงค์ โสภา Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-10 2025-04-10 3 2 701 717 การบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2350 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 2) เปรียบเทียบการบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานพัสดุ ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 299 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.80 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่าที (t-test) และสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเก็บ การบันทึก การเบิกจ่าย ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจำหน่าย 2) ผลการเปรียบเทียบ การบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์ทำงาน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จากการศึกษาผู้บริหาร ครูที่ปฏิบัติงานพัสดุ พบว่า แนวทางการบริหารงานพัสดุตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา มีทั้งหมด 15 แนวทาง</p> ลออ วิลัย นรงค์ โสภา วัชรากร เคยบรรจง ประชารัฐ วงศ์ขำ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-10 2025-04-10 3 2 718 735 การบริหารการแนะแนวของโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2351 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารการบริการแนะแนวของโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 2) ศึกษาแนวทางการบริหารการบริการแนะแนวของโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาจากการคำนวณโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นของการบริหารการบริการแนะแนวของโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 ในงานการบริการงานแนะแนวทั้ง 5 บริการ มีความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ บริการให้การปรึกษา บริการจัดวางตัวบุคคล บริการสำรวจ บริการสนเทศ และบริการติดตามผล 2) แนวทางการบริหารการบริการแนะแนวของโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 แยกเป็นรายด้าน ดังนี้ 2.1) บริการสำรวจเป็นรายบุคคล 2.2) บริการสนเทศ 2.3) บริการให้การปรึกษา 2.4) บริการจัดวางตัวบุคคล และ 2.5) บริการติดตามผล</p> ปราโมทย์ แสนกล้า สุภพ ไชยทอง จินดา ศรีญาณลักษณ์ สกุล เกียรติจีรวิวัฒน์ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-10 2025-04-10 3 2 736 749 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2354 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 2) ศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของการบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา กลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 จำนวน 265 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีการ Stepwise</p> <p> จากผลวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของการบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของบริหารงานวิชาการของกลุ่มสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 มีจำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม และด้านการสร้างบรรยากาศองค์การแห่งการเรียนรู้นวัตกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </p> ชิดชนก โลกคำลือ วรรณากร พรประเสริฐ Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-10 2025-04-10 3 2 750 766 ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ทางการศึกษากับประสิทธิภาพการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ในสถานศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/MADPIADP/article/view/2144 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อศึกษาระบบการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการเรียนการสอนแบบผสมผสานในสถานศึกษา และ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระบบการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษากับประสิทธิภาพการเรียนการสอนแบบผสมผสานในสถานศึกษา การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Taro Yamane (1973) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 297 คน ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดของการวิจัย โดยมีค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือเท่ากับ .867 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย <br />ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าระบบการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากประสิทธิภาพการเรียนการสอนแบบผสมผสานในสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากความสัมพันธ์ระหว่างระบบการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษากับประสิทธิภาพการเรียนการสอนแบบผสมผสานในสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงมาก (r = .928)</p> ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร พลภัทร บริรักษ์ธนกุล ณัฏฐ์ ตั้งปรีชาพาณิชย์ ไกร บุญบันดาล ณรงค์ ศรีชัยบุญสูง อธิสิทธิ์ นุชเนตร ขวัญชนก อายุยืน Copyright (c) 2025 วารสารส่งเสริมและพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ 2025-04-10 2025-04-10 3 2 767 786