การดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในความผิดเกี่ยวกับการก่อมลพิษสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย: กรณีลักลอบนำเข้า ส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์อันเป็นของเสียอันตรายโดยผิดกฎหมาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสถานการณ์และปัญหา การลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย 2. วิเคราะห์ปัญหาของการดำเนินคดีอาญาในการควบคุมการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ และ 3. เสนอแนวทางและมาตรการในการพัฒนากระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินคดีอาญาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการควบคุมปัญหาการลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย การศึกษานี้ใช้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงกับผู้ให้ข้อมูลสําคัญจํานวน 9 คน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากกรมควบคุมมลพิษ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการควบคุมการนำเข้าและจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมขยะอิเล็กทรอนิกส์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และการวิเคราะห์แบบอุปนัย เพื่อสรุปประเด็นสําคัญจากข้อมูลที่ได้
ผลการวิจัยพบว่า
- สถานการณ์การลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ เนื่องจากประเทศไทยเป็นทั้งแหล่งรับและจุดผ่านของขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ การขาดการควบคุมที่เข้มงวดและการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการลักลอบนำเข้าขยะที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ซึ่งส่วนใหญ่มีสารพิษที่เป็นอันตราย ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้สถานที่กำจัดขยะ เกิดปัญหาทางสุขภาพ
- การบังคับใช้กฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยยังคงมีข้อจำกัดสำคัญ เนื่องจากขาดทรัพยากรในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายยังสามารถละเมิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบทางกฎหมายที่มีความรุนแรง นอกจากนี้การขาดความรับผิดชอบของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน แม้ว่ามีกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วก็ตาม
- ควรมีการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ประกอบการสามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ รวมทั้งการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อลดปัญหาการลักลอบนำเข้าและส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมมลพิษ. (2549). อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด. กรุงเทพฯ: กรมควบคุมมลพิษ.
กรมโรงงานอุตสาหกรรม. (2560). คู่มือการจัดทำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ฉบับปรับปรุง. กระทรวงอุตสาหกรรม.
คณะกรรมการด้านวิชาการเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ศาลปกครอง. (2557). แนวทางการพัฒนาวิธีพิจารณาคดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: สำนักงานศาลปกครอง.
น้ำแท้ มีบุญสล้าง. (2547). การดำเนินคดีแบบกลุ่มคดีสิ่งแวดล้อม. ใน วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เจนจิรา เจนนุวัตร. (2561). มาตรการส่งเสริมการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์กลับมาใช้ใหม่ (Recycle): ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับกฎหมายต่างประเทศ. ใน วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ณิชชา บูรณสิงห์. (2559). ขยะอิเล็กทรอนิกส์. กรุงเทพ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
ภัทรกิติ์ บุญละคร. (2561). มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. วารสารวิชาการเฉลิมกาญจนา, 5 (1), 319-331.
นภัสสร เปียจันทร์ & สุมนทิพย์ จิตสว่าง. (2023). การลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์สู่การเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 49(1), 13-32.
วริทธิ์ สมทรง. (2562). มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากขยะอิเล็กทรอนิกส์: ศึกษากรณีกฎหมายเกี่ยวกับโรงงาน. ใน วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
วริทธิ์ สมทรง, มาลี สุรเชษฐ และ วราภรณ์ วนาพิทักษ์. (2563). มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากขยะอิเล็กทรอนิกส์: ศึกษากรณีกฎหมายเกี่ยวกับโรงงาน. วารสารรัชต์ภาคย์, 14 (36), 93-103.
วิลาสินี สิทธิโสภณ. (2563). การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.
สง่า ทับทิมหิน, ปวีณา ลิมปิทีปราการ, ฐิติรัช งานฉมัง, ลักษณีย์ บุญขาว, & กิตติเหลาสุภาพ. (2564). การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 14(1), 1-8.