https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/issue/feed วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ 2025-09-28T10:00:58+07:00 ดร.บุญเพ็ง สิทธิวงษา ิboounpenggg@gmail.com Open Journal Systems <p><em><strong>เกี่ยวกับวารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์</strong></em></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ (JOURNAL OF RESEARCH OF SOCIAL STUDIES REVIEW) มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ พระพุทธศาสนา และปรัชญา </p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> :บทความที่เผยแพร่จะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ทราบข้อมูลของผู้ส่งบทความ (double- blind review)</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong> :</p> <ol> <li>บทความวิจัย</li> <li>บทความวิชาการ</li> <li>บทวิจารณ์หนังสือ</li> </ol> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กําหนดการออกเผยแพร่วารสาร</strong> : วารสารกําหนดวงรอบการเผยแพร่ 4 ฉบับต่อปี ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม, ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน, ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>การติดต่อประสานงานและส่งบทความเผยแพ</strong>ร่ :</p> <p> 1. สอบถามรายละเอียดเบื้องต้น เช่น รอบการเผยแพร่ หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ เป็นต้น โทร.093 5602069, 092 7467383</p> <ol start="2"> <li><a href="https://docs.google.com/document/d/1Mkqzwz4sSj0jSjxSL4emmLrS5YO_tzan/edit#heading=h.gjdgxs">เทมเพลตบทความวิจัย</a></li> <li><a href="https://docs.google.com/document/d/1CjG4q9MuRMfj0ZHSMbSiFlvfCjQiXOLY/edit">เทมเพลตบทความวิชาการ</a></li> <li><a href="https://docs.google.com/document/d/1Q6PM12bdXiooct1bk8kT1Gr49Ek8svHr/edit">เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ</a></li> </ol> <p>ทั้งนี้วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ : <strong>ยังไม่มีการเรียกเก็บค่าตีพิมพ์</strong></p> https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4268 ประชาธิปไตยกับสังคมไทย 2025-09-14T13:35:05+07:00 มะลิ ทิพพ์ประจง sanan.pra@mcu.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกย่อมมีผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย ปัจจุบันสังคมไทยจึงต้องมีการสร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้สอดคล้องกับบริบทตนเอง เพื่อสร้างการขับเคลื่อนให้เกิดประชาธิปไตยให้มีความมั่นคงยั่งยืนสู่รุ่นต่อรุ่นในอนาคต ซึ่งทั่วโลกก็จะมีการกล่าวถึงบริบทของความเป็นประชาธิปไตยที่มีผลต่อพลเมืองของประเทศนั้น ๆ ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือว่าพัฒนาแล้วก็จะมีความโดดเด่นทั้งด้านการเมือง การปกครองตามแบบที่ประชาชนพลเมืองของประเทศของตนเอง ซึ่งประชาธิปไตยกับสังคมไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดการเอาใจใส่ทุกภาคส่วนและความร่วมมือของประชาชนคนไทยทุกคน ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงเปรียบเสมือนหัวใจและกลไกลของการสร้างความโดดเด่นให้กับนานาประเทศยอมรับถึงการบริหารจัดการบ้านเมืองตามหลักของประชาธิปไตย สังคมประชาชนคนไทยจึงต้องให้ความร่วมมือกันในการสร้างให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมในอนาคตต่อไป</p> 2025-09-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4267 การดูแลบุคลากรผู้ประสบภัย 2025-09-14T13:33:00+07:00 มะลิ ทิพพ์ประจง sanan.pra@mcu.ac.th พระครูสิริปริยัตโยดม ทิพพ์ประจง sanan.pra@mcu.ac.th พระแดนชัย สุริยวํโส (สุริยวงศ์) thipprajongmali@gmail.com พระมหาเมธี ไวยุวัฒน์ thipprajongmali@gmail.com นพวรรณ์ ไชยชนะ thipprajongmali@gmail.com วิชิต ไชยชนะ thipprajongmali@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สถานการณ์ด้านสุขภาพของประชาชนคนไทยยังมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการได้รับภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ยิ่งเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดนหรือว่าตามพื้นที่เสี่ยงระหว่างรอยต่อตามแนวชายแดน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะประสบกับภัยทั้งด้านภายนอกและภายในคือด้านภายนอกมีความเจ็บปวดจากการโดนอาวุธ ระเบิดหรือความเสี่ยงจากการออกไปปฏิบัติงานในการดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว และการดูแลบุคลากรให้มีขวัญกำลังใจที่ดีและได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันของบุคลากรที่มีต่อองค์กร นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังเป็นการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับบุคลากรอีกด้วย</p> 2025-09-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4370 ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น 2025-09-21T09:34:28+07:00 ชัยยันต์ คุณรักษ์ sanan.pra@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาสภาพการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงาน (2) ศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงาน และ (3) ศึกษาแนวทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ตัวแทนภาครัฐและตัวแทนภาคท้องถิ่น จำนวน 10 คน เคื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า : (1) สภาพการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.07 S.D.=0.74) (2) ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น อย่างมีนียสำคัญที่ทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยด้านมิติการบริหารงานบุคคล (X2) ปัจจัยด้านมิติการบริหารจัดการ (X1) ปัจจัยด้านมิติวัฒนธรรมแบบราชการ (X5) และปัจจัยด้านมิติการบริการสาธารณะ (X4) มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) เท่ากับ .322 .249 .099 และ .074 ตามลำดับ และ (3) จำเป็นจะต้องมีสัจจะให้ความเคารพเชื่อถือทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผล พราะเป็นผู้มีความจริงใจ รักษาคำพูด จะทำให้การบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผล เป็นหลักประกันในการสร้างทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผล และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างทางการบริหารที่มีประสิทธิผล และสมารถทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีประสิทิผลอย่างยิ่ง</p> 2025-09-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4461 การศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ของพนักงานจ้างตามภารกิจมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2025-09-26T12:29:33+07:00 วีระวุฒิ จันทร์มนตรี sanan.pra@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานจ้างตามภารกิจ (2) เปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานระหว่างกลุ่มพนักงานจ้างตามภารกิจ (3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และ (4) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วยพนักงานจ้างตามภารกิจครอบคลุมทุกหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย จำนวน 48 คน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม ซึ่งออกแบบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา เช่น ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) รวมถึงมีการอภิปรายผลเปรียบเทียบกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจด้านความผูกพันต่อองค์กร มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (Mean = 4.10, S.D. = 0.60) แสดงให้เห็นว่าบุคลากรมีความภาคภูมิใจและมีความผูกพันกับองค์กรอย่างลึกซึ้ง รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Mean = 3.96) และ ความชัดเจนของบทบาทหน้าที่ (Mean = 3.95) ซึ่งสะท้อนว่าความโปร่งใสของงานและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นมีผลต่อความตั้งใจและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สำหรับแรงจูงใจพื้นฐาน พบว่าปัจจัย ความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน และ ความมั่นคง มีระดับสูง แสดงให้เห็นว่าบุคลากรให้ความสำคัญกับความมั่นคงในอาชีพและคุณภาพชีวิตในการทำงาน ขณะที่ปัจจัย ค่าตอบแทน และสวัสดิการ อยู่ในระดับปานกลาง สะท้อนว่าบุคลากรอาจมีความคาดหวังเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลตอบแทนและสิทธิประโยชน์ นอกจากนี้ แรงจูงใจที่มาจาก ภาวะผู้นำของผู้บังคับบัญชา และ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งบ่งชี้ถึงความไว้วางใจในผู้นำและการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานของบุคลากรอย่างเหมาะสม</p> 2025-09-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4460 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครู ในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 2025-09-21T09:36:42+07:00 อนุสรณ์ บุดสดี sanan.pra@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครูในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครูในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และ (3) ศึกษาแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครูในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี จำนวน 400 คน กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ตัวแทนภาครัฐและตัวแทนประชาชน จำนวน 10 คน เคื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า : (1) ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครูในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.01 S.D.=0.76) (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรข้าราชการครูในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อย่างมีนียสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยดานการฝกอบรม (X1) ปัจจัยดานกฎระเบียบวินัย (X2) และปัจจัยดานคุณธรรมจริยธรรม (X4) มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) เท่ากับ .670 .037 และ .031 ตามลำดับ และ (3) แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพ จําเป็นที่จะต้องให้ข้าราชการครูปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมาย เป็นข้าราชการที่ใช้อํานาจตามกฎหมาย อํานวยความยุติธรรมประกอบกับลักษณะของงานจะมีลักษณะปฏิบัติงานเป็นทีม ผู้บริหารจะต้องมีภาวะผู้นําที่สามารถจะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความศรัทธา ให้ความเชื่อมั่น และเกิดความเชื่อใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล</p> 2025-09-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JRSR/article/view/4342 แนวทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย 2025-09-15T06:30:55+07:00 ไชยพร สมานมิตร sanan.pra@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และ (3) เพื่อศึกษาแนวทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี ในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย จำนวน 400 คน และกลุ่มเป้าหมายได้แก่ ตัวแทนภาครัฐและตัวแทนภาคเอกชน จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้สถิติการแจกแจงความถี่ และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยการนำเสนอเป็นตารางใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณโดยใช้วิธีการคัดเลือกตัวแปรแบบเป็นลำดับ ประกอบการอภิปรายผล และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า : (1) สภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.01 S.D.=0.75) (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยภายใน (X2) ปัจจัยภายนอก (X1) และปัจจัยระหว่างประเทศ (X4) มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) เท่ากับ .240 .193 และ .003 ตามลำดับ และ (3) จำเป็นจะต้องมีนโยบายการจัดทำแผนทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบให้มีการประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลาย จัดทำนโยบายแผนพัฒนาทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และมีการส่งเสริมทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ ไว้ในเวลาฉุกเฉินและมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้ครอบคลุมในการบริการแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-09-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมศึกษาปริทัศน์