https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/issue/feed
วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
2025-03-13T21:43:57+07:00
Pichaya Sriphan
journalsocialdevelopment@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม (Journal of Interdisciplinary Social Development)</p> <p>E-ISSN : ISSN : 2822-1060 (Online)<br />เป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> <p>วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p>
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2006
วิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรมการบูชาพระธาตุนางเพ็ญ ที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนวัดเกาะแก้ว อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี
2025-03-03T15:58:22+07:00
พระไพฑูรย์ คมฺภีรปญฺโญ (บัวเงิน)
6402105009@mcu.ac.th
บุญส่ง สินธุ์นอก
6402105009@mcu.ac.th
พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน
6402105009@mcu.ac.th
อริย์ธัช เลิศรวมโชค
6402105009@mcu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมการบูชาพระธาตุในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2.ศึกษาสภาพปัจจุบันความเชื่อ และพิธีกรรมการบูชาพระธาตุ นางเพ็ญชุมชนวัดเกาะแก้ว อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 3.วิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรม การบูชาพระธาตุนางเพ็ญ ที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนวัดเกาะแก้ว อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี การวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสาร และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูล แล้วใช้การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความเชื่อและพิธีกรรมการบูชาพระธาตุ มีพื้นฐานความศรัทธาจากพระพุทธศาสนา โดยถือว่าพระธาตุเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเสริมสิริมงคล พิธีกรรมสำคัญ ได้แก่ การเวียนเทียน การถวายพุทธบูชา การปิดทอง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ในบริบทของชุมชนวัดเกาะแก้ว ความเชื่อเกี่ยวกับ พระธาตุนางเพ็ญมีความเกี่ยวข้องกับโชคลาภ สุขภาพ และการปัดเป่าภัยพิบัติ พิธีกรรม ที่สำคัญ เช่น การขอพร การถวายเครื่องสักการะ และการทำบุญบั้งไฟ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิถีชีวิตชุมชน</li> <li>สภาพปัจจุบันความเชื่อและพิธีกรรมการบูชาพระธาตุนางเพ็ญชุมชนวัดเกาะแก้ว ยังคงสืบทอดอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเชื่อเกี่ยวข้องกับโชคลาภ สุขภาพ และการปัดเป่าภัยพิบัติ รวมถึงการจัดพิธีกรรม เช่น การขอพร การถวายเครื่องสักการะ และการทำบุญบั้งไฟ เพื่อเสริมสิริมงคลรักษาความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและชุมชน</li> <li>ความเชื่อและพิธีกรรมการบูชาพระธาตุนางเพ็ญที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชุมชน ได้แก่ ด้านปัจเจกบุคคล ช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจ ด้านสังคม ส่งเสริมความสามัคคีและการสืบทอดวัฒนธรรม ด้านเศรษฐกิจ ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจท้องถิ่น ด้านศีลธรรมช่วยให้ชาวบ้านตระหนักถึงบุญ-บาป จิตสำนึกทางศาสนา</li> </ol>
2025-03-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/1990
ธรรมะคลายโศก
2025-03-02T12:52:56+07:00
พระมหาจันที ธมฺมวิริโย (สีลาใหล)
6702105001@mcu.ac.th
สมเดช นามเกตุ
6702105001@mcu.ac.th
พระครูจิรธรรมธัช
6702105001@mcu.ac.th
<p>หนังสือ ธรรมะคลายโศก เล่มนี้ ได้รวบรวมและเรียบเรียงหลักธรรมจากพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์และการเยียวยาจิตใจ แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ธรรมะคลายโศกสำหรับฆราวาส และ ธรรมะคลายโศกสำหรับพระภิกษุ โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมเรื่องของการดูแลจิตใจผู้ป่วย การปลอบโยนผู้สูญเสีย และแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้จิตใจสงบตั้งมั่น เพราะในสังสารวัฏนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากความทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเป็นความพลัดพรากจากคนรัก การสูญเสียสิ่งที่หวงแหน หรือความเจ็บป่วยทางกายและใจ อุปสรรคเหล่านี้เป็นธรรมดาของชีวิตที่เราทุกคนต้องเผชิญ เมื่อถึงคราวที่ทุกข์ประดังเข้ามา จิตใจของเราย่อมหวั่นไหว เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ถูกลมพายุโหมกระหน่ำ หากรากแก้วไม่มั่นคงพอ ย่อมโอนเอนและล้มลงไปได้ง่าย</p>
2025-03-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/1989
ศึกษาเปรียบเทียบเวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และคัมภีร์ฉบับใบลาน อักษรธรรมล้านนา
2025-03-02T12:57:38+07:00
พระมหาธราธร ภทฺทวํโส (หงษ์เจริญ)
6402105009@mcu.ac.th
บุญส่ง สินธุ์นอก
6402105009@mcu.ac.th
พระมหาไพฑูรย์ สิริธมฺโม
6402105009@mcu.ac.th
อริย์ธัช เลิศรวมโชค
6402105009@mcu.ac.th
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาเวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2. ศึกษาเวสสันดรชาดกในคัมภีร์ฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนา 3. เปรียบเทียบเวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนาและในคัมภีร์ฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนา เป็นการวิจัยคุณภาพวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเอกสาร</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>เวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 28 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิบาต ข้อ 1045-1269 ส่วนเวสสันดรชาดกในคัมภีร์ฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนา มาจากวัดเหมืองหม้อ จังหวัดแพร่ จารึกโดยอินทปัญญาภิกขุ กาวิไชภิกขุ และครูบาเจ้าคันธะ เมื่อ จ.ศ. 1270 (พ.ศ. 2451) มีอายุ 117 ปี</li> <li>เวสสันดรชาดกในคัมภีร์ฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนา พบว่า มีจำนวน 100 หน้าลาน โดยเนื้อหาได้กล่าวถึงคาถาใน 13 กัณฑ์ของเวสสันดรชาดกเป็นภาษาบาลี มีส่วนที่ใช้ภาษาล้านนาบอกจำนวนคาถาในแต่ละกัณฑ์ และกล่าวถึงช่วงเวลาที่จารึกพร้อมทั้งชื่อผู้เขียน และปัจฉิมบท</li> <li>เปรียบเทียบเวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนาและในคัมภีร์ฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนา พบว่า เวสสันดรชาดกในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทและฉบับใบลานอักษรธรรมล้านนามีความแตกต่างในสามด้านหลัก (1) ด้านที่มาและการนำไปใช้ ฉบับเถรวาทเป็นแหล่งข้อมูลทางการ เน้นการเผยแผ่ศาสนา ส่วนฉบับล้านนาสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น เน้นการอนุรักษ์ (2) ด้านโครงสร้างและเนื้อหา คัมภีร์ทั้งสองมีโครงสร้างคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในที่มาและการใช้ภาษาและ(3) ด้านประโยชน์และคุณค่า ฉบับเถรวาทใช้ในวงวิชาการและศาสนา ส่วนฉบับล้านนาเป็นมรดกวัฒนธรรมที่ช่วยอนุรักษ์ภาษาและภูมิปัญญา</li> </ol>
2025-03-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2005
ทุกข์ไม่ไปหรือเราไม่ปล่อย
2025-03-03T15:50:40+07:00
เจ้าอธิการสมเกียรติ สิริวฑฺฒโก (แสนบัวโพธิ์)
6702105013@mcu.ac.th
พระครูพิศาลสารบัณฑิต
6702105013@mcu.ac.th
<p>ในชีวิตของมนุษย์ ไม่มีใครที่ไม่เคยเผชิญกับความทุกข์ เราทุกคนล้วนต้องพบกับความผิดหวัง ความสูญเสีย ความไม่สมหวัง หรืออุปสรรคที่เข้ามาทดสอบจิตใจของเรา บางคนพยายามดิ้นรนเพื่อหลีกหนีความทุกข์ บางคนเลือกที่จะเผชิญหน้า และบางคนกลับจมอยู่กับความทุกข์จนไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ คำถามสำคัญคือ "ความทุกข์นั้นไม่ไปจากเรา หรือที่จริงแล้ว เราเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมปล่อยวางมันเอง</p>
2025-03-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/1972
การบริหารจัดการน้ำเสียในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเทศไทย
2025-02-25T17:59:12+07:00
เดชดำรงค์ ล่องลอย
s66563825016@ssru.ac.th
จักรวาล สุขไมตรี
s66563825016@ssru.ac.th
<p>สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติกำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 การจัดการน้ำเสียเป็นภารกิจหลักภารกิจหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ท้องถิ่น ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ภารกิจของท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ท้องถิ่นไม่สามารถปฏิบัติงานทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีข้อจำกัดด้านองค์ความรู้ด้านการจัดการน้ำเสียของบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท้องถิ่นต้องปรับบทบาท เสริมทักษะด้านการจัดการสร้างเครื่องมือหรือตัวช่วยในการบริหารจัดการ และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านน้ำเสียชุมชน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเทศไทย จึงได้ดำเนินการวิจัย และกำหนดมาตรการการจัดการน้ำเสียชุมชนในระดับท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้ท้องถิ่นสามารถดำเนินการด้านน้ำเสียอย่างเป็นขั้นตอน และสามารถคัดเลือกมาตรการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งครอบคลุมถึงรายละเอียดของบทบาทให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บทความนี้ได้นำเสนอส่วนหนึ่งของผลการศึกษาการบริหารจัดการด้านน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ปัญหาน้ำเสีย ในพื้นที่ ในปัจจุบัน อธิบายการดำเนินงานที่เป็นอยู่และวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสนอแนวทางในการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น</p>
2025-03-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2010
ตามรอยพระอรหันต์
2025-03-03T16:08:54+07:00
พระมหาพุทธพัฒน์ พุทฺธสโร (คำวิมล)
6702105001@mcu.ac.th
สมเดช นามเกตุ
6702105001@mcu.ac.th
พระครูจิรธรรมธัช
6702105001@mcu.ac.th
<p>พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการดับทุกข์ เป็นหนทางแห่งปัญญาที่นำพาสรรพสัตว์ออกจากวัฏสงสารไปสู่ความหลุดพ้น จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาคือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นภาวะที่ปราศจากกิเลสและความทุกข์โดยสิ้นเชิง ผู้ที่เข้าถึงสภาวะนี้ได้เรียกว่า พระอรหันต์ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ได้ทำลายกิเลสทั้งปวงไม่กลับคืนมาสู่ความทุกข์อีกต่อไป การเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเชื่อหรือการอ้อนวอน แต่เกิดจากการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นเส้นทางสายเอกที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและประกาศให้แก่โลก หนังสือ "ตามรอยพระอรหันต์" เล่มนี้ เป็นการรวบรวมหลักธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา ซึ่งพุทธทาสภิกขุได้ถ่ายทอดไว้อย่างชัดเจนและเรียบง่าย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้จริง</p>
2025-03-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2047
พระพุทธศาสนา : การปฏิรูปความเชื่อและวิถีชีวิตของสังคมอินเดีย ในสมัยพุทธกาล
2025-03-07T13:54:54+07:00
พระครูวาปีธรรมวิจิตร (สุรศักดิ์ เวชรักษ์)
2491sura@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์พระพุทธศาสนากับการปฏิรูปความเชื่อและวิถีชีวิตของสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาล พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในแผ่นดินที่เรียกว่า “ชมพูทวีป” ท่ามกลางลัทธิและศาสนาต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลมากมายในยุคนั้น การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเผชิญความยากลำบากเนื่องจากผู้คนมีความเชื่อในลัทธิต่าง ๆ ที่ทรงอิทธิพล พระพุทธเจ้าทรงพยายามปฏิวัติสังคมอินเดีย โดยพยายามเลิกวรรณะ ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่สำเร็จ แต่พระพุทธองค์ทรงประกาศอิสรภาพทางความเป็นมนุษย์ โดยเน้นว่ามนุษย์สามารถพัฒนาตนเองได้และเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่เน้นการปลดปล่อยความทุกข์ การปฏิบัติตามศีล สมาธิ และปัญญา ได้ดึงดูดผู้คนจากทุกวรรณะ สังคมอินเดีย มีการแบ่งแยกชั้นวรรณะอย่างเคร่งครัด และลัทธิต่าง ๆ มีอิทธิพลมากมาย</p> <p> พระพุทธศาสนาได้ปฏิรูปความเชื่อและวิถีชีวิตของสังคมอินเดียโดยเสนอแนวคิดที่ใช้ปัญญาและศีลธรรมในการดำเนินชีวิต การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีผลกระทบทางการเมือง และสังคมอย่างมาก ผู้ปกครองและราชวงศ์หลายแห่งได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายทางการปกครองให้เน้นความยุติธรรมและความเมตตา การศึกษาความเชื่อในสมัยพุทธกาลช่วยให้เราเข้าใจบริบททางสังคม วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนในยุคนั้นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของความเชื่อทางศาสนาที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้นและยุคต่อมา</p>
2025-03-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2065
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี
2025-03-08T11:39:43+07:00
ขวัญเรือน ชัยนันท์
khuanraunc@gmail.com
เจตต์ชัญญา บุญเฉลียว
khuanraunc@gmail.com
ทิพย์สุคนธ์ ศรีลาธรรม
khuanraunc@gmail.com
ณฐา เมธาบุษยาธร
khuanraunc@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์ระดับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการให้บริการและดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และประสบการณ์การทำงาน กับระดับการปฏิบัติงานของ อสม. และ (3) ศึกษาปัจจัยด้านแรงจูงใจ เช่น ค่าตอบแทน การยอมรับทางสังคม และความพึงพอใจในการทำงาน ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของ อสม.</p> <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 300 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลัก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-Square Test, Pearson’s Correlation และ One-Way ANOVA</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>1. ระดับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง โดยอาสาสมัครมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน การแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนที่เหมาะสม การติดตามอาการ และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตระหนักและความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเองในชุมชน</li> <li>ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กับระดับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และประสบการณ์การทำงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยอาสาสมัครที่มีอายุมากกว่า ระดับการศึกษาสูงกว่า รายได้สูงกว่า และมีประสบการณ์มากกว่า มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติงานได้ดีกว่า ส่วนปัจจัยด้านเพศและอาชีพ ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการปฏิบัติงานของ อสม. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยด้านแรงจูงใจที่มีความสัมพันธ์กับระดับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้แก่ ค่าตอบแทน การยอมรับทางสังคม และความพึงพอใจ ในการทำงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับการปฏิบัติงานของ อสม. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) โดยเฉพาะ การยอมรับทางสังคมและความพึงพอใจในการทำงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครในระดับสูง</li> </ol> <p> ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานอย่างต่อเนื่อง โดยควรส่งเสริมให้มีการอบรมความรู้เฉพาะทางที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาและประสบการณ์ รวมถึงควรสร้างแรงจูงใจทางสังคม และระบบการยอมรับในชุมชนเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน</p> <p> </p>
2025-03-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2050
การเปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine ระหว่างโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 : กรณีศึกษา โรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน จังหวัดสุพรรณบุรี
2025-03-07T13:50:29+07:00
ขวัญเรือน ชัยนันท์
khuanraunc@gmail.com
เจตต์ชัญญา บุญเฉลียว
khuanraunc@gmail.com
พรสุข หุ่นนิรันดร์
khuanraunc@gmail.com
ฐาวรี ขันสำโรง
khuanraunc@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine (2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine (3) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนระหว่างการใช้บริการ Telemedicine (4) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างในจังหวัดสุพรรณบุรีจำนวน 400 คน ข้อมูลได้รับการวิเคราะห์โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine ในโรงพยาบาลรัฐอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า (ค่าเฉลี่ย 4.3, SD = 0.4) รองลงมาคือ การสื่อสารและความเป็นมิตร (ค่าเฉลี่ย 4.0, SD = 0.5)</li> <li>ระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine ในโรงพยาบาลเอกชนอยู่ในระดับสูง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยี (ค่าเฉลี่ย 4.3, SD = 0.5) และด้านการใช้งานสะดวก (ค่าเฉลี่ย 4.4, SD = 0.3)</li> <li>ความพึงพอใจของประชาชนต่อการใช้บริการ Telemedicine ระหว่างโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-Value < 0.05) โดยโรงพยาบาลเอกชนมีคะแนนความพึงพอใจสูงกว่าด้านการให้บริการและประสิทธิภาพของระบบ ขณะที่โรงพยาบาลรัฐมีคะแนนสูงกว่าในด้านค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชนในการใช้บริการ Telemedicine อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ด้านประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยี (β = 0.40, P-Value = 0.000), ด้านการให้บริการ (β = 0.35, P-Value = 0.003), ด้านการสื่อสารและความเป็นมิตร (β = 0.38, P-Value = 0.001) และด้านค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า (β = 0.42, P-Value = 0.000)</li> </ol>
2025-03-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม