https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/issue/feed
วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
2025-10-17T20:31:04+07:00
Wannapha Bubphasopha
journalsocialdevelopment@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม (Journal of Interdisciplinary Social Development)</p> <p>E-ISSN : ISSN : 2822-1060 (Online)<br />เป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> <p>วารสารผ่านการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) โดยได้รับการจัดให้อยู่ในวารสารกลุ่มที่ 2 ระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2572</p>
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4032
ระบำในละครคุณสมภพ
2025-08-23T14:17:08+07:00
ฮาดัสซาห์ ศรีชัย
richaihadassah@gmail.com
<p>บทความวิจัยฉบับนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิด รูปแบบและองค์ประกอบของระบำในละครคุณสมภพ และ 2) วิเคราะห์รูปแบบและกระบวนท่าของระบำในละครคุณสมภพ ได้แก่ ระบำทาส ในละครพูดเรื่องฉัตรแก้ว ระบำอัปสรฟ้อนไฟ ในละครดึกดำบรรพ์เรื่องนางเสือง และระบำอนุสติไทย ในละครพูดสลับลำเรื่องบางระจัน โดยเก็บข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัย สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และสื่อบันทึกการแสดง รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลจากการลงภาคสนาม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระบำในละครคุณสมภพมีแนวคิดการสร้างสรรค์มาจากการศึกษาประวัติศาสตร์ มีรูปแบบการแสดงระบำ ได้แก่เปิดเรื่อง กลางเรื่องและปิดเรื่อง โดยองค์ประกอบได้รับอิทธิพลจากศิลาจารึกและนาฏศิลป์ต่างชาติมาดัดแปลง เน้นความพร้อมเพรียง ดนตรีประกอบมีทั้งวงเครื่องสาย วงปี่พาทย์ วงเครื่องสายผสมออร์แกนและวงออเคสตราผสมไทย การสร้างเครื่องแต่งกายอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อความสมจริงใกล้เคียงกับยุคสมัยของเหตุการณ์ เน้นใช้ผู้ชายจริงหญิงแท้ 2) การวิเคราะห์รูปแบบและกระบวนท่าระบำทั้ง 3 ชุด คือ ระบำทาสเป็นระบำเปิดเรื่อง เพื่อสะท้อนเหตุการณ์ของบทละคร ใช้กระบวนท่าแบบสมัยใหม่ เรียกว่า modern dance ระบำอัปสรฟ้อนไฟเป็นระบำกลางเรื่อง เพื่อเชื่อมฉากในการแสดงละคร ใช้กระบวนท่าเลียนแบบภาพจำหลักศิลปะขอม และระบำอนุสติไทยเป็นระบำปิดเรื่อง มุ่งสร้างแรงจูงใจก่อนเข้าสู่การแสดงละคร โดยใช้กระบวนท่าการเต้น เรียกว่า ballet ซึ่งทั้ง 3 ระบำเป็นการจัดระบำเพื่อสร้างความตระการตาให้กับบทละคร ให้ผู้ชมเกิดความติดตาตรึงใจและสร้างความประทับใจต่อผู้ชม</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4024
บทบาทการให้บริการสาธารณะของมูลนิธิพระครูเกษมนวการ วัดแหลมทราย ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
2025-08-22T18:31:21+07:00
อัครินทร์ สมศักดิ์
2kantaphon_2@hotmail.com
พระครูวิรัตธรรมโชติ
2kantaphon_2@hotmail.com
กันตภณ หนูทองแก้ว
2kantaphon_2@hotmail.com
จักรกฤษ เลิศลับ
2kantaphon_2@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บทบาทด้านการให้บริการสาธารณะของมูลนิธิพระครูเกษมนวการ 2) วิเคราะห์กระบวนการดำเนินงาน กลยุทธ์ และกิจกรรมของมูลนิธิที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และ 3) เสนอแนวทางส่งเสริมบทบาทของมูลนิธิในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในชุมชน การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากเอกสาร หนังสือ บทความ และการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ ผู้บริหารมูลนิธิ ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่/อาสาสมัคร และประชาชนผู้รับบริการในพื้นที่ จำนวน 15 รูป/คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลแบบการวิเคราะห์เนื้อหา และSWOT Analysis</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การให้บริการสาธารณะของมูลนิธิพระครูเกษมนวการ วัดแหลมทราย มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในหลากหลายมิติ ผ่านการให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา คือ หลักธรรมาภิบาล สาราณียธรรม 6 และสังคหวัตถุ 4 เพื่อสร้างความสามัคคี 2) จากการวิเคราะห์ SWOT ปัญหาด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านความเลื่อมล้ำ และด้านสวัสดิการสังคม พบว่า มูลนิธิพระครูเกษมนวการ สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ นำไปสู่การเบาเทาทุกข์ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ3) แนวทางส่งเสริมบทบาทของมูลนิธิในการให้บริการสาธารณเพื่อชุมชนใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การช่วยเหลือผู้ยากไร้ (2) การส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต (3) การส่งเสริมด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เช่น การผลิตและแจกจ่ายน้ำมันโอสถทิพย์ (เปลี่ยนชื่อเป็น “ทรายโอสถ”) การให้ยารักษาเบื้องต้น และ (4) การส่งเสริมความร่วมมือในชุมชนผ่านกิจกรรมอาสาสมัคร</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4438
การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด
2025-09-20T14:53:27+07:00
ศุภกฤต จัตุเรศ
Bovy19092537@gmail.com
สุพล จอกทอง
Bovy19092537@gmail.com
วศิน สอนโพธิ์
Bovy19092537@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 365 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.8-1.0 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.905 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัย พบว่า</p> <p> 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความผูกพัน</p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตามตำแหน่ง มีความคิดเห็นโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้ง</p> <p> 3) ผลการสังเคราะห์แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด ควรได้รับการส่งเสริมแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ทั้ง 4 ด้าน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3763
STRATEGIC DIGITAL INTEGRATION IN GUANGXI AGRICULTURAL PRACTICES : ENHANCING CROP FARM MANAGEMENT WITH DIGITAL INNOVATIONS
2025-08-02T15:00:20+07:00
Pu Fan
mju6516503016@mju.ac.th
Danaikrit Inthurit
mju6516503016@mju.ac.th
Surachai Kungwon
mju6516503016@mju.ac.th
Watcharanan Thongma
mju6516503016@mju.ac.th
<p>This study explores the impact of digital technology integration on agricultural management practices in Guangxi, China, as well as the numerous challenges faced by the region in its agricultural digital transformation. The study aims to analyse how digital technology can enhance agricultural operational efficiency, product quality, and economic benefits through targeted digital and management strategies. A stratified random sample survey was conducted on 420 agricultural practitioners in Guangxi. Data were analysed using structural equation modelling (SEM) to validate the model's fit. Additionally, this study integrates Management Information Systems (MIS), Management Function Theory (MFT), Digital Economy Theory (DET), Regional Development Theory (RDT), Diffusion of Innovations Theory (DIT), and the Technology Acceptance Model (TAM) to test six hypotheses in the Guangxi region: H1 Digital information system integration enhances operational efficiency; H2 Digital tools optimise management functions; H3 Digital economic transformation improves operational and management quality; H4 Digital agriculture promotes regional development through resource optimisation; H5 E-commerce participation drives digital innovation; H6 Technology acceptance enhances crop farm efficiency. The research findings indicate that ‘digital technology integration’ has a significant impact on ‘agricultural management efficiency’ (path coefficient 0.85) and positively influences ‘rural digital economic foundations’ (0.72). Additionally, ‘digital agriculture’ has a significant impact on ‘regional economic development’ (0.68), suggesting that effective digital strategies can simultaneously enhance agricultural productivity, agricultural management capabilities, and regional economic growth. The study also highlights the importance of digital infrastructure, digital literacy, and policy support in driving agricultural digital transformation. These findings provide valuable insights for policymakers, agricultural practitioners, and agricultural managers, indicating that effective strategic digital integration can promote sustainable agricultural development, improve rural livelihoods, and inject new vitality into agricultural development.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4439
ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2025-09-20T14:56:42+07:00
นิภารัตน์ เสาว์กระโทก
niparateducation@gmail.com
นัยนา ช่ำชอง
niparateducation@gmail.com
วิมาน วรรณคำ
niparateducation@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตาม จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 100 คน โดยตารางเครซี่มอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.90สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและค่าเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก </p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> <p> 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านวิสัยทัศน์ 2) ด้านองค์กรแห่งการเรียนรู้ 3) ด้านการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ 4) และ 5) ด้านสมรรถนะทางเทคโนโลยี</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4440
สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2025-09-20T15:00:40+07:00
สุพิชญา กิ่งจันทร์แก้ว
naiyana@nmc.ac.th
นัยนา ช่ำชอง
naiyana@nmc.ac.th
วิมาน วรรณคำ
naiyana@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> <p> 3) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 8 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ 2) ด้านการมีวิสัยทัศน์ 3) ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ 4) ด้านการสื่อสารและการจูงใจ 5) ด้านการทำงานเป็นทีม 6) ด้านการพัฒนาตนเอง 7) ด้านการพัฒนาศักยภาพของบุคคล และ 8) ด้านการบริการที่ดี</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4441
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธโดยใช้การเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2025-09-20T15:03:36+07:00
อรัญญา ประครองพันธ์
dr.adisorn@nmc.ac.th
อดิสร บาลโสง
dr.adisorn@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษา เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษา เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนที่ผ่านการเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองแวง(โสวรรณีวิทยาคม) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 90.6/87.74 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4149
THE STUDY OF NARRATIVE STRUCTURE AND FILM LANGUAGE IN TSUI HARK’S FILMS
2025-08-31T13:28:40+07:00
Sun Wenjun
Chalongrat.rsu@gmail.com
Chalongrat Chermanchonlamark
Chalongrat.rsu@gmail.com
<p>This study investigates the narrative structure and film language in the fantasy works of Tsui Hark, focusing specifically on three representative films released between 2013 and 2018. As a director known for blending traditional Chinese aesthetics with modern cinematic techniques, Tsui constructs intricate narratives that challenge linear storytelling and genre conventions. Using qualitative methods of textual and visual analysis, the research explores how Tsui’s films utilize episodic structures, symbolic imagery, dynamic cinematography, and layered sound design to communicate deeper philosophical and cultural themes. The findings reveal that Tsui Hark’s cinematic style transcends entertainment, positioning his works as culturally reflective texts that engage with identity, power, and illusion in contemporary Chinese society. His hybrid narrative and visual strategies contribute significantly to the evolution of genre cinema in a transnational context.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4058
THE IMPACT OF EMOTIONAL INTELLIGENCE, PROFESSIONAL COMMITMENT, AND TEACHER SUPPORT ON STUDENT ENGAGEMENT AMONG UNDERGRADUATE STUDENTS MAJORING IN THAI LANGUAGE IN YUNNAN, CHINA: THE MEDIATING ROLE OF ACADEMIC EMOTIONS
2025-08-27T19:53:07+07:00
Yuan Yidan
Wangjianchao0123@gmail.com
Sudaporn Pongpisanu
Wangjianchao0123@gmail.com
<p>Yunnan, China’s gateway to Thailand, fuels intense trade and demand for Thai language specialists. Every public university now trains Thai language specialists, whose quality shapes China-Thai cooperation and serves as a soft-power benchmark, making student engagement a critical outcome to explain. Clarifying the determinants of student engagement is therefore critical. Grounded in self-determination and control–value theories, this study surveyed 924 Thai-major undergraduates across public universities in Yunnan. Structural analyses revealed that emotional intelligence, professional commitment, and teacher support predict student engagement directly and exert additional indirect effects through academic emotions. Academic emotions functioned as a pivotal mechanism that both mediates and moderates the influence of individual and contextual factors on student engagement. The findings support a synergistic “student–teacher–institution” framework for cultivating high-quality foreign language talent.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3995
SUSTAINABLE INNOVATION STRATEGIES IN WILD COFFEE SUPPLY CHAINS
2025-08-20T20:28:11+07:00
Xia Wang
g666501012@northcm.ac.th
<p>The main objective of this study is to explore how sustainable agricultural practices, technology adoption and market diversification affect the economic value added of smallholder coffee supply chains in a biodiversity-sensitive context. The study also seeks to examine the mediating role of environmental performance, consumer trust and product differentiation, and to assess the moderating role of policy support, certification schemes and international trade partnerships.</p> <p>This study proposes the following hypotheses: H1a: sustainable farming practices have a significant positive effect on economic value added; H1b: technology adoption has a significant positive effect on economic value added; H1c: market diversification has a significant positive effect on economic value added; H2a: environmental performance mediates the relationship between sustainable farming practices and economic value added; H2b: consumer trust mediates the relationship between technology adoption and economic value added; and H2b: consumer trust mediates the relationship between technology adoption and economic value added. economic value added; H2c: Product differentiation mediates between market diversification and economic value added. H3a: Policy support positively moderates the relationship between sustainable farming practices and environmental performance; H3b: Certification schemes positively moderates the relationship between environmental performance and consumer trust; H3c: International trade partnerships positively moderates the relationship between market diversification and product differentiation. Relationship between market diversification and product differentiation. This study utilized a quantitative, cross-sectional survey design. Data were collected from 450 smallholder coffee growers in Chiang Rai, Chiang Mai and Mae Hong Son provinces using a structured questionnaire with Likert-7 response scale and 403 valid questionnaires were returned. The study achieved a balance between statistical power and contextual representation.</p> <p>This study provides empirical insights into how ecological and institutional factors interact with innovation to shape economic outcomes in sustainable agricultural supply chains. The study contributes to theory by advancing the moderating mediator model and informs practice by providing actionable recommendations for policy makers, non-governmental organizations (NGOs), and producer cooperatives seeking to enhance rural value creation in biodiversity-rich areas.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4282
AN EXPERIMENTAL STUDY ON THE APPLICATION OF THE BOPPPS TEACHING MODEL IN PUBLIC PHYSICAL EDUCATION MARTIAL ARTS CLASSES AT UNIVERSITIES
2025-09-10T14:40:05+07:00
Kangshi Ma
kangshi.ma@northbkk.ac.th
<p>This study investigates the application of the BOPPPS teaching model in university martial arts classes, aiming to enhance students’ physical fitness, technical performance, theoretical knowledge, cooperative learning, and motivation. Using a quasi-experimental design, 80 sophomore students from Guangxi University of Foreign Studies were divided into an experimental group (BOPPPS) and a control group (traditional). Data were collected through physical fitness tests, martial arts skill assessments, theory examinations, and questionnaires, and analyzed with SPSS 26.0.</p> <p> Results showed that the BOPPPS model significantly improved students’ lung capacity, endurance, and core strength, as well as their martial arts technical accuracy and theoretical knowledge. It also enhanced cooperative learning ability by strengthening communication, role division, and teamwork, while reducing passivity and increasing initiative in classroom participation. These findings demonstrate that BOPPPS provides a more effective and engaging framework for martial arts instruction than traditional methods. The study offers empirical evidence supporting the integration of BOPPPS into physical education curricula, contributing both to student-centered pedagogy and to the broader reform of higher education sports teaching in China.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4200
RESEARCH ON THE IMPACT OF THE APPLICATION OF GUANGXI UNIVERSITY OF FOREIGN LANGUAGES AEROBICS COMPULSORY COURSE FLIPPED CLASSROOM ON TEACHING EFFECTIVENESS
2025-09-02T11:30:57+07:00
Sibin Zhang
sibin.zhang@northbkk.ac.th
<p>This study aimed to investigate the effectiveness of applying the Flipped Classroom teaching model in the Aerobics Compulsory Course at Guangxi University of Foreign Languages (GUFL). The specific objectives were: (1) to examine the impact on the accuracy and expressiveness of prescribed movements, (2) to assess the effect on choreography ability, (3) to evaluate changes in students’ exercise attitudes, and (4) to determine the effect on students’ physical fitness. A quasi-experimental design was conducted with 80 first-year students enrolled in the 2024 aerobics compulsory course. The students were divided into an experimental group (n = 40) taught using the Flipped Classroom model and a control group (n = 40) taught using the traditional model. Research instruments included: (1) an aerobics performance assessment, (2) a choreography evaluation rubric, (3) an exercise attitude questionnaire, and (4) physical fitness tests (sit-and-reach, 50m dash, 800m run). Data were analyzed using SPSS 22.0 with independent sample t-tests, ANOVA, and effect size (Cohen’s d).</p> <p> The findings showed that the Flipped Classroom significantly improved students’ prescribed movement accuracy and expressiveness (p < 0.05, large effect) and enhanced choreography ability across multiple dimensions (p < 0.01). Exercise attitude, particularly in learning attitude and behavioral habits, improved significantly in the experimental group compared to the control group. However, there was no significant difference in physical fitness outcomes (p > 0.05). Overall, the Flipped Classroom model effectively stimulated students’ motivation, improved movement accuracy and choreography skills, and fostered positive exercise attitudes, but demonstrated limited short-term impact on physical fitness.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4279
AN INTEGRATED ANALYSIS OF NARRATIVE STRUCTURE AND FILM LANGUAGE IN THE FILMS OF APICHATPONG WEERASETHAKUL
2025-09-10T14:46:53+07:00
Meifang Lin
hannah990722@gmail.com
Chalongrat Chermanchonlamark
hannah990722@gmail.com
<p>This study aims to examine the films of the acclaimed Thai filmmaker Apichatpong Weerasethakul. The specific objectives are: 1) to investigate the narrative structure of Apichatpong Weerasethakul’s films, and 2) to explore the film language of Apichatpong Weerasethakul’s films. This is a qualitative research employs textual analysis as the methodology. Five of Apichatpong’s feature films released between 2002 and 2021 were selected as the primary data sources. Supplementary data were gathered from relevant academic literature, film criticism and interview. The study findings indicate that Apichatpong’s films frequently portray marginalized characters and explore spiritual themes rooted in Thai Buddhism and animism. His narrative structure often departs from linear storytelling, embracing ambiguity and temporal fluidity. In terms of film language, his use of long takes, ambient soundscapes, and durational editing creates a meditative atmosphere that deepens the viewer’s emotional engagement. These elements together establish a dreamlike, subconscious cinematic experience that challenges traditional cinematic forms. Apichatpong's films are not only a unique window through which the world views Thai cinema, but also hold significant influence within the realm of international art cinema.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3979
A THREE-DIMENSIONAL SYNERGISTIC MODEL OF TEACHER JOB PERFORMANCE: ORGANIZATIONAL CLIMATE, PSYCHOLOGICAL CAPITAL, AND CAREER DEVELOPMENT OPPORTUNITIES IN GUANGXI VOCATIONAL COLLEGES
2025-08-18T11:59:42+07:00
Huan Yang
66877010202@g.lpru.ac.th
Napawan Netpradit
66877010202@g.lpru.ac.th
Richeng Huang
66877010202@g.lpru.ac.th
<p>This study aims to construct a three-dimensional framework to explain the job performance of teachers in Guangxi higher vocational colleges, clarifying the joint effects of organizational climate, psychological capital, and career development opportunities on performance. The study adopts a conceptual research approach, based on literature integration and policy text analysis, and proposes three direct paths: (A) Organizational Climate → Performance, (B) Psychological Capital → Performance, (C) Career Development Opportunities → Performance, as well as one synergistic path that emphasizes their mutual enhancement. The theoretical contribution of this research lies in integrating traditional performance evaluation theories and proposing a three-dimensional synergistic model of organization, psychology, and opportunity. Its practical value lies in providing a systematic and operational reference model for the construction of incentive mechanisms, career management, and organizational support systems for teachers in higher vocational colleges.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4281
RESEARCH ON THE IMPACT OF BLENDED TEACHING MODE OF ACCOUNTING PRINCIPLES COURSES ON STUDENTS’ LEARNING OUTCOMES IN GUANGXI HIGHER EDUCATION INSTITUTIONS
2025-09-10T14:35:58+07:00
Wanwang Lu
wanwang.lu.zhang@northbkk.ac.th
<p>This study aimed to investigate the impact of the blended teaching mode of the Accounting Principles course on students’ learning outcomes in Guangxi higher education institutions. The specific objectives were: (1) to examine the overall effect of blended teaching on students’ learning outcomes; (2) to analyze its effect on the cognitive domain; (3) to analyze its effect on the skill domain; (4) to analyze its effect on the affective domain; (5) to determine the effect of online preview activities; and (6) to determine the effect of offline hands-on practice on students’ learning outcomes. A quasi-experimental research design was employed, supported by a questionnaire survey. The population comprised first-year accounting students at Guangxi University of Foreign Languages (2024 cohort). The sample included two parallel classes selected through cluster sampling (n = 205): 105 students in the experimental class (blended teaching) and 100 students in the control class (traditional teaching). Research instruments included standardized achievement tests and validated questionnaires (Cronbach’s alpha > 0.80; IOC ≥ 0.67). Data were analyzed using SPSS through descriptive statistics, independent-samples t-tests, Pearson correlation, and regression analysis.</p> <p> The findings revealed that 1) students taught through the blended teaching mode achieved significantly higher overall learning outcomes than those taught through the traditional mode; 2) blended teaching positively influenced the cognitive domain, leading to improved mastery of accounting principles; 3) it significantly enhanced skill outcomes, including problem-solving, teamwork, and information literacy; 4) it positively affected the affective domain, increasing motivation, engagement, and learning interest; 5) the online preview component contributed significantly to pre-class preparation and in-class performance; and 6) the offline hands-on practice component further improved learning through case studies, simulation training, and guided practice. In conclusion, the blended teaching mode effectively improves cognitive, skill-based, and affective learning outcomes in Accounting Principles courses. Recommendations are proposed at institutional, teacher, and student levels to optimize implementation and sustain improvements.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4312
บทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย
2025-09-12T15:56:39+07:00
เกียรติเฉลิม รักษ์งาม
dr.kovip999999@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษารูปแบบและลักษณะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของคนรุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง (2) วิเคราะห์บทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการสร้างการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ และ (3) เสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้เป็นกลไกส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มกับกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18–29 ปี จำนวน 25 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง) พร้อมทั้งถอดความและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คนรุ่นใหม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, TikTok และ X/Twitter เป็นช่องทางหลักในการติดตามและแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเมือง โดยมีการมีส่วนร่วมในหลายระดับ ตั้งแต่การกดไลก์ แสดงความคิดเห็น แชร์ข้อมูล ไปจนถึงการผลิตคอนเทนต์ทางการเมืองด้วยตนเอง สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้และทัศนคติทางการเมือง รวมทั้งเป็นพื้นที่สาธารณะเสมือนที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม ปัญหาข่าวปลอม การบิดเบือนข้อมูล และความกังวลด้านกฎหมายเป็นอุปสรรคสำคัญในการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัยชี้ว่า ภาครัฐและสถาบันการศึกษาควรส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ ในหมู่เยาวชน ขณะที่ภาคประชาสังคมและพรรคการเมืองควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ในกระบวนการประชาธิปไตยไทย</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4033
การพัฒนาชุดเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญา ด้วยอานาปานสติ
2025-08-23T14:27:17+07:00
พระครูพิสุทธิปัญญาภิวัฒน์
Vichit.chit@mcu.ac.th
วิชิต ไชยชนะ
Vichit.chit@mcu.ac.th
พระครูพิทูรนคราภิรักษ์
Vichit.chit@mcu.ac.th
พระครูปลัดวิชเนาว์ ปัญญาวชิโร (แจ่มสวัสดิ์)
Vichit.chit@mcu.ac.th
พระปลัดทัศนพล เขมจาโร (พรหมมา)
Vichit.chit@mcu.ac.th
นพวรรณ์ ไชยชนะ
Vichit.chit@mcu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาสาเหตุความต้องการในการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาของบุคคลวัยทำงาน 2. พัฒนากระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของบุคคลวัยทำงานด้วยอานาปานสติ 3. นำเสนอชุดเครื่องมือการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาของบุคคลวัยทำงานด้วยอานาปานสติ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎก สัมภาษณ์เชิงลึก ไปสู่การพัฒนาชุดเครื่องมือการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาด้วยอานาปานสติ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จากบุคคลวัยทำงานในจังหวัดพิจิตร จำนวน 25 คน วิเคราะห์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. คนวัยทำงานมีความเครียดสะสมมีภาวะหมดไฟ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญส่งผลต่อสุขภาพจิต ประสิทธิภาพในการทำงานขาดการควบคุมอารมณ์ความคิด เกิดปัญหาการตัดสินใจความสัมพันธ์ที่ทำงาน ความเข้มแข็งทางจิตใจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงแต่ปัจจุบันยังขาดเครื่องมือในการฝึกความเข้มแข็งทางจิตใจ เนื่องจากชุดฝึกส่วนใหญ่มีปัญหาคือใช้เวลามากบางคนเข้าใจว่าอานาปานสติเป็นเรื่องของศาสนา ขาดการสนับสนุนจากองค์กร ขาดแรงจูงใจภายใน บุคคลวัยทำงานต้องการแนวทางปฏิบัติที่ง่ายทำได้ในเวลาสั้น ๆ และมีพื้นที่สำหรับฝึก 2. การพัฒนากระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาด้วยอานาปานสติ ออกแบบชุดฝึกที่เหมาะสมสามารถทำได้ในเวลาสั้น ช่วยพัฒนาสมองลดความเครียด ไม่เน้นเรื่องศาสนา องค์กรให้การสนับสนุนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 3. ชุดเครื่องมือการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาด้วยอานาปานสติ ที่เหมาะสมตามความต้องการขององค์กรได้รับการสนับสนุน เสริมสุขภาวะทางปัญญา ลดความเครียด ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4451
การเติบโตและบทบาทของธุรกิจทุนจีนในการส่งออกผลไม้ ของประเทศไทย
2025-09-21T18:37:47+07:00
จุฬา จันทร์เมือง
ton.ooy2020@gmail.com
บุญเลิศ ช่วยธานี
ton.ooy2020@gmail.com
ประเสริฐ บุปผาสุข
ton.ooy2020@gmail.com
<p>บทความนี้มุ่งศึกษาการเติบโตและบทบาทของธุรกิจทุนจีนในการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทที่จีนกลายเป็นตลาดหลักของทุเรียนไทยและมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มทุนจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของทุเรียน ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อจากสวน การคัดแยก บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการส่งออก โดยใช้รูปแบบการลงทุนในโรงคัดบรรจุผลไม้ การเช่าหรือทำสัญญากับสวนเกษตรกร และการควบคุมมาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดจีน การเสนอให้มีการกำหนดนโยบายที่สมดุลระหว่างการเปิดเสรีการค้าและการคุ้มครองผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย เช่น การกำหนดมาตรการด้านสิทธิ์ในที่ดิน การสนับสนุนเกษตรกรในการรวมกลุ่มเพื่อเข้าถึงตลาดโดยตรง และการสร้างกลไกควบคุมธุรกิจต่างชาติให้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายไทยอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมทุเรียนไทยในระยะยาว ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนกับจีน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4330
การพัฒนาคู่มือภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานบริการ กรณีศึกษาสวนหมื่นบุปผา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
2025-09-14T13:00:24+07:00
ลาวัณย์ พงษ์สุวรรณศิริ
lawan.t@yru.ac.th
ซูซัน หามะ
lawan.t@yru.ac.th
เจนตา แก้วไฝ
lawan.t@yru.ac.th
สุไรดา กาซอ
lawan.t@yru.ac.th
ภานุวัฒน์ ศรีมาฆะ
lawan.t@yru.ac.th
ชฎาภรณ์ สวนแสน
lawan.t@yru.ac.th
แวซำซูดิน แวดอกอ
lawan.t@yru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานบริการของบุคลากรสวนหมื่นบุปผา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา 2) เพื่อพัฒนาคู่มือภาษาอังกฤษ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้คู่มือที่มีต่อคู่มือภาษาอังกฤษ โดยเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพใช้การสนทนากลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์สนทนากลุ่ม ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในแผนกบริการของสวนหมื่นบุปผา คัดเลือกจำนวน 53 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การหาสถิติค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ซึ่งเป็นการบรรยายเชิงสรุปของประเด็นเนื้อหาต่าง ๆ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) บุคลากรสวนหมื่นบุปผามีความต้องการให้จัดทำคู่มือภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ประกอบไปด้วย 4 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในปัจจุบันของสวนหมื่นบุปผา ได้แก่ คู่มือภาษาอังกฤษสำหรับการให้บริการในกิจกรรม DIY ทำเทียนดอกไม้ คู่มือภาษาอังกฤษสำหรับร้านอาหาร คู่มือภาษาอังกฤษสำหรับการให้บริการที่พัก และคู่มือภาษาอังกฤษสำหรับบริการนวดเพื่อสุขภาพ 2) โครงสร้างและองค์ประกอบของคู่มือที่พัฒนา มีการออกแบบโดยเน้นการใช้งานจริงและง่ายต่อการเรียนรู้ โดยมีรายละเอียดโครงสร้าง ได้แก่ ด้านคำศัพท์และสำนวน เป็นการรวบรวมคำศัพท์และสำนวนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การให้บริการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในสวนหมื่นบุปผา ด้านบทสนทนา ได้มีการนำเสนอตัวอย่างบทสนทนาที่ใช้ในการโต้ตอบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติในสถานการณ์ต่าง ๆ มีภาพประกอบ โดยใช้ภาพถ่ายจริงของงานบริการภายในสวนหมื่นบุปผา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้คู่มือเห็นภาพและเข้าใจบริบทของบทสนทนาและคำศัพท์ได้ชัดเจนขึ้น และ 3) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อคู่มือภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานบริการ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4025
การบริหารจัดการปกครองสมัยราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช
2025-08-22T18:34:00+07:00
สืบพงศ์ ธรรมชาติ
Kantaphon_27@hotmail.com
กันตภณ หนูทองแก้ว
Kantaphon_27@hotmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช โดยใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางศาสนา ตำรา งานวิจัย วารสาร เว็บไซต์ และบทความวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ผลการศึกษา พบว่า หลังจากการล่อมสลายของอาณาจักรศรีวิชัย ต่อมา ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เป็นราชวงศ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการปกครอง การพัฒนาระบบการเมือง และวัฒนธรรมในคาบสมุทรภาคใต้ของไทย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13–18 โดยมีนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร มีลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นทั้งผู้นำทางการเมืองและศาสนาการจัดระเบียบสังคมอาศัยหลักธรรมาภิบาลตามแนวทางพุทธศาสนา ผสมผสานกับจารีตประเพณีท้องถิ่น และอิทธิพลจากอินเดียใต้ ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่ ระบบจตุสดมภ์ การแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเมืองลูกหลวงและเมืองประเทศราช ตลอดจนการแต่งตั้งขุนนางตามตำแหน่งและบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน การบริหารจัดการดังกล่าวไม่เพียงแต่เอื้อต่อการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองเท่านั้น โดยมีลักษณะการปกครองแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยรวมศูนย์ แต่มีรูปแบบการปกครองที่มีความพิเศษผ่านการผสมผสานระหว่าง การปกครองแบบจักรพรรดิ และการปกครองแบบธรรมราชา โดยผู้วิจัยเรียกชื่อระบบการปกครองแบบผสมผสานนี้ว่า “จักรพรรดิธรรมราชา” ระบบการปกครองที่พระราชาทรงใช้หลักทสพิธราชธรรมในการปกครองอาณาจักรทั้ง 12 เมือง โดยมีพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลาง และยังเป็นรากฐานสำคัญต่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3693
พฤติกรรมเด็กจากครอบครัวหย่าร้าง: บาดแผลที่มองไม่เห็น
2025-08-15T09:34:54+07:00
ปรินทร ศิริเอี้ยวพิกูล
parinthorn@hitechthai.com
<p>บทความวิชาการนี้ตั้งใจสำรวจและเจาะลึกถึงพฤติกรรมของเด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้าง โดยจะเน้นไปที่ผลกระทบที่อาจซ่อนเร้นอยู่ ไม่ได้แสดงออกทันที แต่สามารถกลายเป็นบาดแผลทางใจในระยะยาวได้ เราจะเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์การหย่าร้างในไทย และดูว่าแนวโน้มมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างไร การศึกษาครั้งนี้แบ่งประเด็นหลักออกเป็น 5 ส่วน คือ ทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ผลกระทบด้านพฤติกรรมของเด็ก ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพจิตและสังคมของเด็ก ปัจจัยรอบตัวที่มีผลกระทบ และแนวทางในการช่วยเหลือเยียวยา ข้อมูลทั้งหมดที่เรานำมาอ้างอิงนั้น มาจากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ผู้เขียนอยากให้สังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลเด็กอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะจากครอบครัว โรงเรียน หรือสังคมโดยรวม สุดท้าย เราจะเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ เช่น พฤติกรรมของเด็กแต่ละคนที่ไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกันได้ทั้งหมด การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเปราะบาง ทางจิตใจ และบทบาทสำคัญของโรงเรียนในการฟื้นฟูสุขภาพจิต งานวิชาการนี้คาดหวังว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจและเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เราดูแลเด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4232
ผลการใช้เทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-09-08T17:40:15+07:00
นันทวรรณ ทองทับ
nantawan4469@gmail.com
สุนีตา โฆฆิตชัยวัฒน์
nantawan4469@gmail.com
พลวัต ฉลอง
nantawan4469@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning 2)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้เทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยนี้คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 31 คน โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ (อ16101) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ซึ่งได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม ด้วยวิธีการจับฉลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ 3)แบบประเมินความพึงพอใจต่อเทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อ (t-test dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใขของนักเรียนหลังเรียนด้วยเทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อเทคนิคการอ่าน SQ4R ร่วมกับเทคนิค Skimming และ Scanning อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4349
แว่วเสียงตีบาตร: บททบทวนสถานภาพงานศึกษา “บาตรบ้านบาตร” ในฐานะมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
2025-09-16T11:45:56+07:00
กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล
kan_lao@tu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนสถานภาพ ทิศทาง และแนวโน้มของงานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “บาตรบ้านบาตร” ภายหลังจากที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติในปี พ.ศ. 2555 การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยรวบรวมและวิเคราะห์งานวิจัยและบทความวิชาการที่เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2567 จากฐานข้อมูลวารสารไทย (ThaiJO) จากการคัดกรองพบบทความที่เข้าเงื่อนไขจำนวน 5 ชิ้นนำสู่การวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์สถานภาพงานศึกษา พบประเด็นการศึกษาใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ ประเด็นโครงสร้างปัญหาและการฟื้นฟูชุมชน<strong> </strong>ประเด็นการปรับตัวทางเศรษฐกิจ และ ประเด็นการสืบทอดองค์ความรู้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดต่อการ แม้ชุมชนบ้านบาตรจะมีบทบาทเชิงรุกในการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตนเอง แต่การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสนับสนุนให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “บาตรบ้านบาตร” สามารถสืบทอดต่อไปได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม งานศึกษาครั้งนี้ได้พบว่า แม้ว่า “บาตรบ้านบาตร” จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ แต่งานศึกษาทางวิชาการที่มีเกี่ยวกับประเด็นนี้ยังปรากฎอยู่อย่างจำกัด</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4185
วิเคราะห์การเจริญอัปปมัญญาเพื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา
2025-08-31T21:39:57+07:00
พระภิญโญ ปญฺาทีโป (เอี่ยมสุวรรณ)
6611205011@mcu.ac.th
ธานี สุวรรณประทีป
6611205011@mcu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเจริญอัปปมัญญาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อวิเคราะห์การเจริญอัปปมัญญาเพื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร เกี่ยวกับการเจริญอัปปมัญญาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และวิเคราะห์การยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อัปปมัญญาเป็นธรรมที่เจริญเมตตาจิตให้แผ่ไปในสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่จำกัด โดยประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งแต่ละข้อมีลักษณะเด่นและข้อควรระวัง เมื่อนำมาเจริญให้มากยิ่งขึ้น จะส่งผลให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับอัปปนาสมาธิ (ฌานจิต) ซึ่งสามารถเป็นฐานนำเข้าสู่วิปัสสนาได้ โดยอัปปมัญญาสามารถบรรลุฌานได้ตั้งแต่รูปฌาน 4 ถึงอรูปฌาน 4 และนิโรธสมาบัติ อานิสงส์ของการเจริญอัปปมัญญานั้นมีมาก ทั้งในทางโลกิยะและทางโลกุตตร เช่น หลับเป็นสุข จิตผ่องใส เป็นที่รักของทั้งมนุษย์และอมนุษย์ และสามารถเข้าถึงพรหมโลกได้ อีกทั้งยังเป็นบาทฐานของวิปัสสนาภาวนา โดยผู้เจริญอัปปมัญญาแล้ว เมื่อออกจากฌานสามารถยกองค์ฌานขึ้นมาพิจารณาให้เห็นตามไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) นำไปสู่การเกิดวิปัสสนาญาณตามลำดับ การเจริญอัปปมัญญาเพื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา ต้องอาศัยหลักธรรมสำคัญ เช่น สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 วิชชาและวิมุตติ โดยกระบวนการดังกล่าวนำไปสู่การเป็นอุภโตภาควิมุตติ คือ ผู้หลุดพ้นทั้งทางเจโตวิมุตติ (ด้วยสมาธิ) และปัญญาวิมุตติ (ด้วยปัญญา) จนสามารถบรรลุอรหัตผล เข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4324
การจัดการภาครัฐแนวใหม่ของเทศบาลเมืองคลองหลวง อำเภอเมืองคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
2025-09-14T12:54:10+07:00
วัชราภรณ์ พรมพลเมือง
thanakrit@ptu.ac.th
กัญจน์ณัฏฐ์ สังข์นาค
thanakrit@ptu.ac.th
สมชาติ อ่อนประดิษฐ์
thanakrit@ptu.ac.th
ธนกฤต โพธิ์เงิน
thanakrit@ptu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาการจัดการภาครัฐแนวใหม่ในเขตเทศบาลเมืองคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) วิเคราะห์ระดับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เสนอแนวทางพัฒนาการจัดการภาครัฐแนวใหม่ งานวิจัยเป็นเชิงปริมาณ ใช้กรอบแนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2556) กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองคลองหลวง จำนวน 381 คน กำหนดจากตารางของ Krejcie และ Morgan โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติพรรณนา การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า การจัดการภาครัฐแนวใหม่โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐ รองลงมาคือการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัยและมีขีดสมรรถนะ การส่งเสริมระบบการมีส่วนร่วมระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน การบริหารราชการแบบบูรณาการ การเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบตามปัจจัยส่วนบุคคลชี้ว่า เพศ อายุ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการประเมิน แต่ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันส่งผลต่อความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3980
การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนโดยการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง: กรณีศึกษาชุมชนเกษตรกรรม บ้านกุดตาลาดพัฒนาตำบลโคกเริงรมย์ อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ
2025-08-19T14:05:37+07:00
ต่อศักดิ์ บุญเสือ
rong.torsak2505@gmail.com
ฉัตรชัย ตั้งศรีทอง
rong.torsak2505@gmail.com
ศิริพันธ์ ขวัญอ่อน
rong.torsak2505@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนโดยการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) หาแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนโดยการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการวิจัยแบบผสมผสานและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างกำหนดด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายจากประชาชนบ้านกุดตาลาดพัฒนา ตำบลโคกเริงรมย์ อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 360 คน ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติ ที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ เลือกผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีเจาะจงจากผู้มีความรู้ประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนและการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 5 คน แบบสัมภาษณ์เชิงลึกมีค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์เนื้อหาโดยการตีความสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนโดยการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการนำ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการควบคุม ด้านการวางแผน และด้านการจัดองค์กรตามลำดับ 2) แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน พบว่า ผู้นำในชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ควรมีการจัดการจัดเวทีประชาคมร่วมกับชาวบ้านเพื่อร่วมกันหาสาเหตุของปัญหา วางแผนแก้ไขปัญหาที่เกิดกับทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน และกำหนดกฎกติกาในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนโดยการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ยุติธรรม และการอยู่ร่วมกันในชุมชนและคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกัน ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ เพื่อลดความขัดแย้งในชุมชน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3929
บทบาทของการปกครองท้องที่ ตามอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-08-13T20:05:56+07:00
ประสาทพร ขุมทิพย์
prasatporn.k@gmail.com
อภิชาติ พานสุวรรณ
prasatporn.k@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นต่อบทบาทของการปกครองท้องที่ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อบทบาทของการปกครองท้องที่ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทของการปกครองท้องที่ วิธิการดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อบทบาทของการปกครองท้องที่ กลุ่มตัวอย่าง คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่อำเภอท่าเรือ จำนวน 175 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอนที่ 2 นำเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทของการปกครองท้องที่ มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 11 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติงานตามบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านกิจการสาธารณประโยชน์ 2) เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ตำแหน่ง ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง และค่าตอบแทน พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) แนวทางการพัฒนาบทบาทการปกครองท้องที่ ได้แก่ การส่งเสริมการอบรมพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงข้อมูล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกระดับ</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4450
การพัฒนานวัตกรรมด้านวิธีการจัดการเรียนการสอน SODPRE โมเดล สำหรับรายวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
2025-09-20T15:10:17+07:00
อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
tanchanok.p@tsu.ac.th
พัศรเบศวณ์ เวชวิริยะสกุล
tanchanok.p@tsu.ac.th
ธัญชนก พูนศิลป์
tanchanok.p@tsu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านความรู้ของนิสิตครู ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีที่สำคัญในเนื้อหาที่ศึกษาในรายวิชาหลักสูตรและวิทยาการการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ ของนิสิตครูให้มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่า เกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และทฤษฎีหลักสูตรและการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 3) เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ของนิสิตครู ให้มีความสามารถออกแบบวางแผนการปฏิบัติการสอน และวัดประเมินผลการเรียนรู้ บันทึก และรายงานผลการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนได้อย่างเหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่าง เป็นนิสิตครูชั้นปีที่ 2 สาขาการวัดและประเมินทางการศึกษาและการสอนคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ รวม 27 คน ในภาคเรียนที่ 1/2568 เครื่องมือ คือ แผนการจัดการเรียนการสอนตาม SODPRE โมเดล ซึ่งดำเนินกิจกรรม 10 สัปดาห์ และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านความรู้ของนิสิตครู แสดงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีที่สำคัญในเนื้อหาที่ศึกษาในรายวิชาหลักสูตรและวิทยาการ การจัดการเรียนรู้ สะท้อนผ่านชิ้นงานการวิเคราะห์หลักสูตร 2) ผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ ของนิสิตครู สะท้อนถึงความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่า เกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และทฤษฎีหลักสูตรและการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สะท้อนผ่านชิ้นงานการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ และ 3) ผลลัพธ์การเรียนรู้ ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ของนิสิตครู แสดงถึงความสามารถออกแบบวางแผนการปฏิบัติการสอน และวัดประเมินผลการเรียนรู้ บันทึก และรายงานผลการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนได้อย่างเหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สะท้อนผ่านการประเมินทักษะการจัดการเรียนรู้ </p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3611
แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำของประชาชนในเขต องค์การบริหารส่วนตำบลหนองอ้อ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
2025-07-15T21:39:30+07:00
จิณณวัฒน์ รัตนโยธาสกุล
jinnyjr.rat13@gmail.com
จักรวาล สุขไมตรี
jinnyjr.rat13@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำของประชาชนในเขต องค์การบริหารส่วนตำบลหนองอ้อ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย 2. เพื่อหาแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหนองอ้อ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 ท่าน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มผู้ให้บริการและกลุ่มผู้รับบริการ โดยเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการสังเคราะห์ตีความหาข้อสรุปในประเด็นสำคัญ และนำมาเรียบเรียงผลการศึกษาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำ ด้านบุคคลากร แม้จะมีความร่วมมือและความพร้อมบางส่วน แต่ยังขาดความรู้เฉพาะทางและกำลังคนที่เพียงพอ</li> <li>สภาพปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำ ด้านงบประมาณ เงินทุนไม่เพียงพอ ทำให้โครงการบางส่วนต้องเลื่อนหรือจำกัดขอบเขตการดำเนินงาน</li> <li>สภาพปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ขาดแคลนเครื่องมือและเครื่องจักร โดยเฉพาะจากข้อจำกัดงบประมาณภายใน</li> <li>สภาพปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำ ด้านการบริหารจัดการ กระบวนการซับซ้อน ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และทรัพยากรไม่ทั่วถึง</li> </ol>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4348
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
2025-09-16T11:43:14+07:00
ณัชชา อมราภรณ์
littlelittleme1212@gmail.com
พระสุรชัย สุรชโย
littlelittleme1212@gmail.com
ระวิง เรืองสังข์
littlelittleme1212@gmail.com
พระครูภัทรธรรมคุณ
littlelittleme1212@gmail.com
อินถา ศิริวรรณ
littlelittleme1212@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 3) เพื่อเสนอกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน จากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จำนวน 15 คน สนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน และสอบถามผู้บริหาร ครู นักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จำนวน 50 คนจากการเข้าร่วมกิจกรรม เครื่องวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์ แบบประชุมสนทนากลุ่มย่อย และแบบประเมินกิจกรรม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยาด้วยการลงพื้นที่สัมภาษณ์ ณ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย โรงเรียนมีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมที่ชัดเจน โรงเรียนอยู่ใกล้แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศไทย มีแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ จำลอง เป็นพิพิธภัณฑ์ของโรงเรียนซึ่งส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้วัฒนธรรมด้วยตนเองเป็นประสบการณ์ตรงโดยให้ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ ศิลปะวัฒนธรรมในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความภูมิใจ ในมรดกทางความคิดการสร้างสรรค์ โรงเรียนอยู่ใกล้แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม แต่ยังขาดการบูรณาการหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา</li> <li>การพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ผู้วิจัยได้พัฒนากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 กิจกรรมโดยการบูรณาการหลักหลักสัปปายะ 7 และหลักภาวนา 4 ได้แก่ 1) กิจกรรมตักบาตรพระ ฟังดนตรีไทยในสวน 2) เวียนเทียนสร้างสรรค์ในโรงเรียน โดยประชุมร่วมกับตัวแทนของผู้บริหาร ครูและนักเรียนในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการผ่านเว็ปไซต์ของโรงเรียน แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ และเสียงตามสายของโรงเรียนเพื่อให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียนได้ทราบถึงกำหนดการและการเตรียมความพร้อมในการร่วมกิจกรรม จัดเตรียมสถานที่ และกราบนิมนต์พระสงฆ์มาเป็นผู้นำในกิจกรรมร่วมกันประเมินกิจกรรมและสรุปเขียนเป็นแบนเนอร์ข่าวของโรงเรียนประชาสัมพันธ์ในเว็ปไซต์โรงเรียน</li> <li>กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยมีผลการประเมินจากผู้บริหาร ครู นักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จำนวน 50 คนที่เข้าร่วมในกิจกรรมโดยภาพรวม 2 ด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด โดยกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้นิเวศวิทยาวัฒนธรรมเชิงพุทธบูรณาการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ กิจกรรมตักบาตรพระ ฟังดนตรีไทยในสวน และกิจกรรมเวียนเทียนสร้างสรรค์ในโรงเรียน เน้นให้ผู้เรียนเกิดการส่งเสริมและสืบทอดพระพุทธศาสนา เรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาในโรงเรียน รู้จักเสียสละสิ่งของโดยเป็นวัฒนธรรมการให้ของชาวพุทธ เรียนรู้ที่สนุกสนาน ได้สนทนาธรรม รับฟังธรรมหรือโอวาทจากพระสงฆ์สามารถนำไปบูรณาการใช้ในชีวิตประจำวันได้ เกิดสติและปัญญาจากการได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาสืบทอดพระพุทธศาสนา ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ได้ฝึกอบรมกาย ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติ</li> </ol>
2025-10-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4346
รูปแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร
2025-09-16T11:38:35+07:00
ระวิง เรืองสังข์
billionwings@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อเสนอรูปแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาเอกสาร และนำมาสร้างแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เพื่อนำไปสัมภาษณ์เชิงลึก ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน พัฒนารูปแบบโดยการสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 10 รูป/คน นำรูปแบบไปทดลองใช้และระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มแรก สภาพการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร คือ ผู้บริหารและครูจำนวน 382 คน กลุ่มตัวอย่างที่สอง โดยการตรวจสอบรูปแบบด้วยการแจกแบบสอบถามตามมาตรฐานการประเมิน 4 ด้าน คือ 1) ความเป็นประโยชน์ 2) ความเป็นไปได้ 3) ความเหมาะสม 4) ความถูกต้อง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีค่าความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>สภาพการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน ด้านเทคโนโลยี มีความต้องการจำเป็นในการบริหาร ลำดับที่ 1 มีการให้ความสำคัญกับการควบคุมการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยี ด้านความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง ลำดับที่ 1 มีการพัฒนาและการประเมินแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ในการจัดการช่องโหว่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมต่อการบริหารและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านโครงสร้างองค์กร ลำดับที่ 1 มีการเน้นการตอบสนองหรือสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านเครือข่าย ลำดับที่ 1 มีการสร้างความสัมพันธ์ในการใช้ทรัพยากร ร่วมกับสถานศึกษาอื่น ในระหว่างภาวะวิกฤตได้ ด้านภาวะผู้นำ ลำดับที่ 1 มีการประเมินผลเกี่ยวกับกลยุทธ์และแผนการปฏิบัติงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง</li> <li>การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน จากการสนทนากลุ่ม การประเมินผลหลังการทดลองใช้รูปแบบ จากการสัมมนา พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยในระดับที่มีความเหมาะสมโดยภาพรวม คิดเป็นร้อยละ 92.03 มีความเหมาะสมมากกว่าก่อนทดลองใช้ คิดเป็นร้อยละ 89.93 แล้วนำมาประเมิน พบว่า โดยภาพรวม พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านความเป็นประโยชน์ โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความถูกต้อง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ในระดับมาก ได้แก่ ความเป็นไปได้</li> <li>ผลการเสนอรูปแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 5 ส่วน ดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ตัวแบบการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน 4) แนวทางการบริหารแบบยืดหยุ่นของผู้บริหารโรงเรียน มีแนวทางในการนำไปสู่การปฏิบัติ 5 แนวทางประกอบด้วย 1) ด้านภาวะผู้นำ 2) เครือข่าย 3) ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง 4) โครงสร้างองค์กร 5) เทคโนโลยี และ 5) ปัจจัยเงื่อนไขความสำเร็จในการนำรูปแบบไปใช้</li> </ol>
2025-10-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4517
แนวทางการพัฒนาความเป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพ ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดเลย
2025-09-23T22:06:23+07:00
ประสงค์ หัสรินทร์
littlelittleme1212@gmail.com
ระวิง เรืองสังข์
littlelittleme1212@gmail.com
ณัชชา อมราภรณ์
littlelittleme1212@gmail.com
อิสยาภรณ์ เทพประสิทธิ์
littlelittleme1212@gmail.com
พระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโน (แสง อินทร์)
littlelittleme1212@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณลักษณะที่พึงประสงค์และแนวทางการพัฒนาความเป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพในศตวรรษที่ 21 และ 2) แนวทางการพัฒนาให้เป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพในศตวรรษที่ 21 เป็นการวิจัยแบบผสม ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 จำนวน 130 คน ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากจำนวนประชากรทั้งหมด และผู้ให้ข้อมูลสำคัญเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา คือ การทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) คุณลักษณะที่พึงประสงค์และแนวทางการพัฒนาความเป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ ด้านพฤติกรรมและภาวะผู้นำ ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านทักษะ และด้านบทบาทหน้าที่ ตามลำดับ</p> <p>2) ผลจากการวิจัยแนวทางการพัฒนาความเป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดเลย เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศในทักษะความสามารถ การติดต่อประสานงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารมีทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การกำกับติดตาม การนิเทศติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถเข้ารับการพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการศึกษาได้อย่างมีอิสระพร้อมทั้งสนับสนุน ส่งเสริมการพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหาร ยึดหลักถือในเรื่องหลักธรรมเป็นพื้นฐาน มีธรรมาภิบาล จรรยาบรรณวิชาชีพ เรียนรู้พัฒนาตนเอง</p>
2025-10-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4207
ศึกษาเชิงวิเคราะห์อิทธิพลของเพลงธรรมะสู่การบรรลุธรรม ในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเรื่องเอรกปัตตนาคราช
2025-09-04T12:46:50+07:00
ไชยอนันต์ บัวบุศย์
chaiananbuabut1234@gmail.com
ชัยชาญ ศรีหานู
chaiananbuabut1234@gmail.com
ธานี สุวรรณประทีป
chaiananbuabut1234@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและหลักธรรมสำคัญในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเรื่องเอรกปัตตนาคราช 2) เพื่อศึกษาแนวคิดบทเพลงที่มีผลต่อการพัฒนาจิตเพื่อบรรลุธรรม 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของเพลงธรรมะที่นำไปสู่การบรรลุธรรมในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเรื่องเอรกปัตตนาคราช เป็นงานวิจัยแบบเชิงคุณภาพ <br />เน้นการวิจัยข้อมูลกาลจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยวิเคราะห์และรายงานเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เรื่องราวเอรกปัตตนาคราชปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและมหายาน บุพพกรรมเก่า เอรกปัตตนาคราชเคยเป็นพระภิกษุในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า แต่ทำผิดด้วยการยึดใบตะไคร้น้ำจนขาดและไม่แสดงอาบัติ จึงเกิดเป็นพญานาคชื่อเอรกปัตตะได้แต่งเพลงขับธรรมะคาถาให้ธิดาขับร้องบนพังพาน อุตตรมาณพได้ฟังธรรมะจากเพลงขับที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งเพื่อขับตอบเพลงของนางนาค จึงได้ขับเพลงธรรมะตอบเพลงของธิดานาค ด้วยการตรึกตรองธรรมะได้บรรลุธรรม และเอรกปัตตนาคราชได้อัตภาพเป็นมาณพไม่ต้องทนทุกข์ในภพนาค หลักธรรมสำคัญคือ ทวาร 6 ได้แก่ อายตนะภายใน-นอก ราคะ โอฆะ 4 มี กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ และอวิชโชฆะ คนพาลคือผู้ที่ทำชั่วตามกิเลส ขาดสติและสัมมาทิฏฐิ ส่วนบัณฑิตมีความคิด พูด ทำดี มีปัญญาตามมรรคมีองค์ 8 โยคะ 4 คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา คุณค่าวรรณกรรมด้วยคาถาบาลีที่ไพเราะ สะท้อนหลักธรรม และส่งเสริมการปฏิบัติธรรม</p> <p>บทเพลงธรรมะถือเป็นศิลปะที่ให้ความบันเทิงและพัฒนาจิตใจ ประพันธ์โดยนำธรรมะใส่ทำนองและขับร้องเพื่อนำจิตของผู้ฟังเข้าสู่ศีลธรรม สมาธิ ปัญญา การบรรลุธรรมคือการเจริญวิปัสสนาภาวนาเพื่อรู้แจ้งความจริงคือความเป็นไตรลักษณ์ และอริยสัจจ์ ด้วยญาณทัสสนะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง บรรลุถึงนิพพานโดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 มี กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา ตามแนวพระสูตรและลำดับวิปัสสนาญาณ มีอานิสงส์สำคัญคือทำให้จิตดำเนินไปด้วยกุศลและบรรลุเป็นพระอริยบุคคล โดยเฉพาะเพลงธรรมะที่ประพันธ์อย่างถูกต้องสละสวยงามมีอิทธิพลต่อการพัฒนาจิตใจในฐานะสื่อกลางให้จิตรู้สภาวธรรมตามเป็นจริงได้</p> <p>อิทธิพลของเพลงธรรมะเพื่อการบรรลุธรรมในอรรถกถาธรรมบทเรื่องเอรกปัตตนาคราช พบว่า เพลงธรรมะแต่งในรูปคาถาปัฐยาวัตร ใช้ภาษาบาลีที่เข้าใจง่าย แต่แฝงด้วยหลักธรรมอันลึกซึ้ง รูปแบบคำถาม-ตอบ จนทำให้อุตตรมาณพเจริญวิปัสสนาเข้าสู่ลำดับวิปัสสนาญาณต่าง ๆ จนบรรลุพระโสดาบัน เมื่อวิเคราะห์ตามหลักการเจริญวิปัสสนาตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 แนวทางพระสูตร และลำดับญาณของอุตตรมาณพผู้มีบุพกรรมกับพระพุทธเจ้า ได้รับการสอนธรรมะผ่านเพลงขับที่พระพุทธเจ้าทรงประพันธ์ให้ ด้วยจิตที่จดจ่อในศิลปะและต้องการแก้ปริศนาธรรมที่เกี่ยวข้องกับการตามพิจารณาดูอายตนะหรือทวารทั้ง 6 มี ตา หู จมูก เป็นต้นจนเห็นแจ้งการเกิด-ดับและน้อมจิตเข้าสู่อริยมรรค รู้แจ้งสภาวธรรม ต่าง ๆ ตามลำดับของวิปัสสนาญาณ 16 ได้บรรลุธรรมชั้นพระโสดาบัน แสดงให้เห็นว่าการฟังเพลงธรรมะหรือขับเพลงธรรมะไม่ได้ขัดขวางต่อการบรรลุธรรมชั้นสูงของพระพุทธศาสนา แต่เป็นสื่อกลางที่มีประสิทธิภาพนำจิตเข้าสู่การเห็นแจ้งในสภาวธรรม และความหลุดพ้นจากกิเลสได้ด้วย องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษาคือ Bs-SRME model ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4325
บทบาทของข้อมูลข่าวสารและสื่อสังคมออนไลน์ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี
2025-09-14T12:57:37+07:00
กัญจน์ณัฏฐ์ สังข์นาค
thanakrit@ptu.ac.th
สมชาติ อ่อนประดิษฐ์
thanakrit@ptu.ac.th
ธนกฤต โพธิ์เงิน
thanakrit@ptu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชน และ 2) วิเคราะห์อิทธิพลของข้อมูลข่าวสารและสื่อสังคมออนไลน์ต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง การดำเนินการเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรคือประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จำนวน 7,910 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่าง 367 คน โดยใช้ตารางของ Krejcie และ Morgan เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน การทดสอบค่าทีและค่าเอฟ ตลอดจนการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก ขณะที่การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม และการเข้าร่วมกลุ่มการเมืองท้องถิ่นอยู่ในระดับปานกลาง <br />2) บทบาทของข้อมูลข่าวสารและสื่อสังคมออนไลน์ พบว่าปัจจัยด้านทัศนคติทางการเมืองท้องถิ่น การดำเนินงานของภาครัฐ และความรู้ความเข้าใจทางการเมือง สามารถร่วมกันทำนายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนได้ร้อยละ 69 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/2956
TECH-INFUSED BUSINESS ENGLISH LEARNING: A STUDENT-CENTRIC EXPLORATION
2025-05-29T13:53:42+07:00
Rerkchai Ponsri
yarnaphat.s@ptu.ac.th
Tasnee Keawngam
yarnaphat.s@ptu.ac.th
Wenxin Dong
yarnaphat.s@ptu.ac.th
Wei Shang
yarnaphat.s@ptu.ac.th
Yarnaphat Shaengchart
yarnaphat.s@ptu.ac.th
Natphitsa Chaowanachaemchun
yarnaphat.s@ptu.ac.th
<p>This study explores students' perspectives on the integration of technology in learning business English. With technological advancements transforming education, digital tools such as online platforms, AI-driven applications, and multimedia resources have enhanced engagement, accessibility, and personalization in business English instruction. Using a qualitative research approach, this study employs in-depth interviews with business English students to examine their experiences, perceived benefits, and challenges associated with technology-assisted learning. Content analysis was employed to analyze the data.</p> <p> Findings indicate that students appreciate the flexibility and interactivity of digital resources, which improve language proficiency and business communication skills. However, concerns such as technical issues, limited human interaction, and digital distractions present significant challenges. While digital tools offer valuable learning opportunities, the study highlights the need for a balanced approach that combines technology with traditional teaching methods. This research contributes to understanding how students navigate digital learning environments and provides insights for educators, curriculum designers, and policymakers in optimizing technology use for business English education. The study emphasizes the importance of structured technology integration that fosters engagement while addressing potential barriers, ultimately enhancing students’ preparedness for global business communication.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4480
รูปแบบการสร้างศูนย์การเรียนรู้อัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชน บนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย
2025-09-23T13:38:27+07:00
วีระพงศ์ เกียรติไพรยศ
Weerapong.kiat@mcu.ac.th
พระครูธีรศาสน์ไพศาล
Weerapong.kiat@mcu.ac.th
ศุภกร ณ พิกุล
Weerapong.kiat@mcu.ac.th
พระครูสมุห์ธนาการ ธนกโร
Weerapong.kiat@mcu.ac.th
รสนันท์ มานะสุข
Weerapong.kiat@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย 2. เพื่อศึกษากิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย และ 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบศูนย์การเรียนรู้อัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยเชิงผสานวิธี (Mixed Method) ประกอบด้วย การเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) คือ การวิจัยในเชิงเอกสาร (Documentary Research) มุ่งเน้นการวิเคราะห์ใน เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) และคณะผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 คน ในพื้นที่ 2 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่บ้านรักแผ่นดิน หมู่ 15 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาติพันธุ์ม้ง และบ้านยะฟู ซึ่งเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านห้วยแม่ซ้าย หมู่ 11 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นชาติพันธุ์ลาหู่ โดยการประมวลองค์ความรู้สร้างกรอบแนวคิดการวิจัยและการเก็บข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ผลการศึกษาอัตลักษณ์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย พบว่า ชาติพันธุ์ม้งมีอัตลักษณ์โดดเด่นด้านประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิต โดยเฉพาะ “ปีใหม่ม้ง” ซึ่งจัดขึ้นหลังฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนชาติพันธ์ลาหู่ประเพณีปีใหม่จะตรงกับเทศกาลตรุษจีน ถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีพิธีสะเดาะเคราะห์ เรียกขวัญ ไหว้บรรพบุรุษ และแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น หมู ไก่ ไข่ ข้าวปุก ประกอบพิธีอย่างเป็นระบบ สะท้อนความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างคน วิญญาณ และธรรมชาติ และยังมีกิจกรรมละเล่น เช่น <br />ตีลูกข่าง การแต่งกายแบบชาติพันธุ์ สื่อถึงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์</li> <li>2. ผลการศึกษากิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย พบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมด้านประเพณีและวัฒนธรรม เป็นการถ่ายทอดความรู้ดั้งเดิมยังถ่ายทอดด้วยภาษาถิ่นและมุขปาฐะ 2) การพัฒนากิจกรรมด้านคติความเชื่อ เป็นการเรียนรู้ด้านคติความเชื่อที่สะท้อนอัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์อย่างลึกซึ้งผ่านพิธีกรรม <br />3) การพัฒนากิจกรรมด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ลักษณะการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นทั้งการจักสาน ตีมีด เย็บปักผ้า และการเพาะปลูกพืชท้องถิ่น ข้าวไร่ พืชหมุนเวียน รวมถึงการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ</li> <li>3. การนำเสนอรูปแบบศูนย์การเรียนรู้อัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย พบว่า การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้อัตลักษณ์เชิงสร้างสรรค์ของชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงรายควรมุ่งเน้นการถ่ายทอดวัฒนธรรม คติความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้จริง ผู้ให้ข้อมูลเสนอให้จัดทำเอกสารหรือคู่มือ เช่น หนังสือเล่มเล็ก โปสเตอร์ อินโฟกราฟิก และคลิปวิดีโอสั้น เพื่อใช้ในโรงเรียน ห้องสมุด และออนไลน์ เน้นสื่อที่เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลควรใช้ YouTube หรือ TikTok เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ เสนอให้โรงเรียนจัดกิจกรรมเสริม เพื่อศูนย์การเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกับโรงเรียนและชุมชน</li> </ol>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4035
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมา
2025-08-23T14:21:58+07:00
ชมพูนุส วังศรี
Chompunusmase@gmail.com
ลินนภัสร์ วุฒิกนกกัญจน์
Chompunusmase@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดบริการ ปัจจัยด้านสำนักงานสอบบัญชี และปัจจัยด้านผู้ประกอบการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ คือ ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 397 คน เครื่องมือในการวิจัยนี้ คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการทดสอบสมมติฐานใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) คือ การวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis: MRA)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. ปัจจัยการตลาดบริการ 7Ps ในภาพรวมอยาในระดับมาก (M = 3.75, S.D. = .425) ส่วนปัจจัยด้านสำนักงานบัญชีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 3.79, S.D. = .539) ในขณะที่ปัจจัยด้านผู้ประกอบการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 3.80, S.D.=.626) 2. การตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในจังหวัดนครราชสีมาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 3.80, S.D.=.525) ปัจจัยการตลาดบริการ (7Ps) ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยด้านสำนักงานบัญชีส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ปัจจัยด้านผู้ประกอบการส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสำนักงานสอบบัญชีของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4088
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1
2025-08-29T11:54:34+07:00
ธัญชนก กล่อมสุวรรณ์
Nokthanchanokk@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามอายุและประสบการณ์การทำงาน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 จำนวน 310 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ การแจกแจงค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ครูที่มีอายุ และประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ควรพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนกลยุทธ์ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกำหนดพันธกิจที่สอดคล้องกับนโยบายและบริบทโรงเรียน ควบคู่กับการจัดการหลักสูตรที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น ส่งเสริมการนิเทศแบบมีระบบ พัฒนาครูผ่าน PLC และวิจัยในชั้นเรียน ติดตามผลการเรียนของนักเรียนอย่างเป็นระบบ พร้อมสร้างบรรยากาศทางวิชาการที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดเวลา</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4036
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองชุด ยกขันศรัทธา บูชาครูโนรา เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านทักษะปฏิบัติ
2025-08-27T19:14:30+07:00
รัตนภัสร์ วราอมรธนวิทย์
kanyaphat2605@gmail.com
ตันทอง ตันทอง
kanyaphat2605@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมนาฏศิลป์พื้นเมือง ชุด ยกขันศรัทธาบูชาครูโนรา เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านทักษะการปฏิบัติ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม</p> <p>การวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ผู้บริหารในสถานศึกษาครูและนักเรียนรวมจำนวน 40 คน ระยะที่ 2 ศึกษาผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรม กลุ่มเป้าหมายการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามความพึงพอใจ และหลักสูตรฝึกอบรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมายการฝึกอบรม โครงสร้างหลักสูตร เวลาการอบรม แนวดำเนินการจัดอบรม กิจกรรมการฝึกอบรม การวัดและประเมินผล แผนการจัดการอบรม 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ (1) ด้านความรู้ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่า t อยู่ที่ระดับ 19.00* อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านความรู้เรื่ององค์ประกอบการแสดง พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งค่า t อยู่ที่ระดับ 34.28* อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ด้านการปฏิบัติการขับร้อง พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.92 และด้านทักษะการปฏิบัติท่ารำ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 3) ความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม พบว่า ด้านครูผู้สอนมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.87 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.34 อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4116
วิเคราะห์สัมมัปปธานเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
2025-08-30T14:15:02+07:00
พระประวัติ ปวตฺโต (อินชำนาญ)
phraprawatinchamnan@gmail.com
ธานี สุวรรณประทีป
phraprawatinchamnan@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสัมมัปปธานในคัมภีร์พระพุทธศาสนา 2) ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน 4 และ 3) วิเคราะห์สัมมัปปธานเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลโดย การวิคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สัมมัปปธานเป็นหลักธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎกทั้งสาม จัดอยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นธรรมแห่งการตรัสรู้ ที่มีความเกี่ยวโยงกับหลักธรรมหมวดอื่น ๆ เสมอ โดยมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา การปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ การกำหนดรู้กาย เวทนา จิต และธรรม อันเป็นแนวทางตรงสู่มรรคผลนิพพาน และอาศัยหลักธรรมในโพธิปักขิยธรรม เช่น สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อินทรีย์ พละ และโพชฌงค์ เป็นเครื่องเกื้อหนุนกันในกระบวนการภาวนา โดยเฉพาะการเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันอย่างมีสภาวะเป็นอารมณ์เดียวกัน ด้านการวิเคราะห์สัมมัปปธานเพื่อส่งเสริมวิปัสสนาภาวนา พบว่า สัมมัปปธานทั้ง 4 คือ 1. สังวรปธาน ส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาช่วยทำให้เกิดเมตตา ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มีสติสังวรสำรวมในบาปอกุศลทั้งหลาย 2. ปหานปธาน ส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาช่วยทำให้เกิด สติสังวร สำรวมระวังในนิวรณ์ กามตัณหา พยาบาท วิจิกิจฉา 3. ภาวนาปธาน ส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาช่วยทำให้เกิดทิฏฐธรรมสุขวิหาร เกิดสมาธิทำให้มีสติสัมปชัญญะ ญาณทัสสนะ จนสิ้นอาสวะกิเลสตัณหาทั้งปวง 4. อนุรักขนาปธาน ส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาช่วยทำให้เกิดสัมมาทิฐิ สัมมาปฏิบัติ อัตถิกทิฎฐิ กิริยทิฎฐิ เหตุกทิฎฐิ ความเห็นถูกต้องมั่นคง ความดำริตริตรึกในทางที่ชอบ คือ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน เห็นโทษในกาม สัมมัปปธานล้วนมีบทบาทในการเฝ้าระวัง ละ สร้าง รักษาธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเพียรเป็นองค์ประกอบหลัก ส่งผลให้การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาดำเนินไปได้อย่างมั่นคง จนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน สัมมัปปธานจึงนับเป็นธรรมเครื่องส่งเสริมปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างแท้จริง และเป็นองค์ธรรมที่ขาดไม่ได้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาเพื่อการตรัสรู้</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4208
การบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัด ในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร
2025-09-04T12:48:51+07:00
พระครูโสภณขันติคุณ ปภสฺสรจิตฺโต (มีกุล)
sukitmeekul4@gmail.com
นวลวรรณ พูนวสุพลฉัตร
sukitmeekul4@gmail.com
ชัยชาญ ศรีหานู
sukitmeekul4@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นแบบเชิงคุณภาพ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 ท่าน โดยวิเคราะห์เนื้อประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร มีสภาพปัญหา และอุปสรรค การประเมินศักยภาพทางยุทธศาสตร์ด้านอุปสรรคเป็นการประเมินปัจจัยภายนอก ปัญหาอุปสรรค คือ กระแสวัตถุนิยมในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้บทบาทของวัด และพระสงฆ์ลดลง การศึกษาพระปริยัติธรรมก็ลดลง นโยบาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่มีอยู่ไม่เกิดผล คือ พระภิกษุ สามเณร มีปริมาณลดลงเรื่อย ๆ การจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ขาดการดำเนินการในการบริหารบุคคล การบริหารการเงิน การบริหารวัสดุอุปกรณ์ และการจัดการที่ชัดเจนเหมาะกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ 2) การพัฒนาการบริหารจัดการศาสนศึกษาตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร การจัดการศึกษาให้ชัดเจน เหมาะสม และถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อประโยชน์แก่การจัดการศึกษา ความเข้าใจแนวคิด และหลักการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาให้เหมาะสม โดยแบ่งแนวคิดออกเป็น 5 กระบวนการ คือ 1. แนวคิดการพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม 2. วิสัยทัศน์การพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม 3. พันธกิจการพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม 4. การพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม 5. วิเคราะห์การพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม 3) แนวทางการบริหารจัดการศาสนศึกษาพระปริยัติธรรมตามหลัก 4 Ms ของวัดในเขตประเวศ-สะพานสูง กรุงเทพมหานคร 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ (A) Assets Empowerment คือการบริหารทรัพยากรทั้งคน เงิน วัสดุอย่างมีประสิทธิภาพ (C) Community Collaboration คือการส่งเสริมความร่วมมือจากชุมชนรอบวัด (T) Transformative Pedagogy คือการจัดการเรียนการสอนเชิงเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อความเข้าใจ และ (S) Strategic Governance คือการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีแผน มีระบบ และโปร่งใส สรุปเป็นองค์ความรู้ว่า “ACTS Model’ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในระดับวัดเพื่อวางแผนการบริหาการศาสนศึกษาและระดับนโยบายของสำนักงานพระพุทธศาสนาเพื่อประเมินคุณภาพศาสนศึกษา</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4402
การนำเสนอภาพแทนในเพลงลูกทุ่งอีสานยุคใหม่
2025-09-18T10:33:57+07:00
จารุวัฒน์ สุพิบาล
jaruwat.sup@mbu.ac.th
ปวิชญา วินทะไชย
jaruwat.sup@mbu.ac.th
พีรพงษ์ เคนทรภักดิ์
jaruwat.sup@mbu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพแทนผู้ชายและผู้หญิงในเพลงลูกทุ่งอีสาน พ.ศ. 2560-ปัจจุบัน ศึกษาจากบทเพลงลูกทุ่งอีสาน พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 16 บทเพลง ใช้แนวคิดภาพแทน นำเสนอผลการศึกษาโดยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภาพแทนผู้ชายในเพลงลูกทุ่งอีสาน พบจำนวน 4 ภาพแทน ได้แก่ 1. ผู้ชายในฐานะผู้หาเลี้ยงและผู้เสียสละ 2. ผู้ชายผู้ไม่ซื่อสัตย์และไม่น่าไว้วางใจ 3. ผู้ชายผู้มีความเปราะบางทางอารมณ์ 4. ผู้ชายจริงใจที่เจียมตัว ส่วนผลการศึกษาภาพแทนผู้หญิงในเพลงลูกทุ่งอีสาน พบจำนวน 4 ภาพแทน ได้แก่ 1. ผู้หญิงผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจและเห็นคุณค่าในตนเอง 2. ผู้หญิงที่ไม่ยอมทนต่อการถูกกระทำ 3. ผู้หญิงผู้รักอิสระและท้าทายขนบ 4. ผู้หญิงผู้อ่อนแอและถูกกระทำ</p> <p>การศึกษาภาพแทนผู้ชายและผู้หญิงในเพลงลูกทุ่งอีสานแสดงให้เห็นว่า เพลงเหล่านี้นำเสนอภาพแทนทั้งในแง่ที่สอดคล้องกับขนบเดิม และมีภาพแทนบางส่วนแสดงให้ความเป็นคนในสังคมสมัยใหม่ที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนสังคมทางวัฒนธรรม จึงทำให้ความเป็นหญิงและความเป็นชายแตกต่างไปจากขนบเดิมด้วย ดังนั้น เพลงลูกอีสานในปัจจุบันจึงไม่ใช่เป็นเพียงสื่อความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ยังนำเสนอภาพของผู้คน รวมทั้งความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วยเช่นเดียวกัน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4184
แนวทางการสร้างกำลังใจสำหรับผู้สูงอายุตามหลักพุทธธรรมในชุมชน วัดทองใน เขตสวนหลวง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2025-08-31T21:36:58+07:00
พระพงษ์ยุทธ ฐฃานวโร (กำจายฤทธิ์)
Romeopkboss@gmail.com
วิโรจน์ คุ้มครอง
Romeopkboss@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นแนวทางการสร้างกำลังใจของผู้สูงอายุในชุมชนวัดทองใน เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการสร้างกำลังใจสำหรับผู้สูงอายุตามหลักพุทธธรรม และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการสร้างกำลังใจของผู้สูงอายุในชุมชนวัดทองใน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยอาศัยกระบวนการวิจัยเอกสารควบคู่กับการวิจัยภาคสนามผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องจำนวน 17 รูป/คน ได้แก่ พระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธธรรม นักวิชาการด้านจิตวิทยาเชิงสร้างสรรค์ และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนวัดทองใน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุในชุมชนประสบภาวะความเสื่อมถอยทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่งผลให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ว่างเปล่า ไร้คุณค่า และขาดแรงใจในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่ลำพังหรือมีบทบาทในครอบครัวลดลง ความต้องการจำเป็นของผู้สูงอายุจึงมิใช่เพียงเรื่องปัจจัยสี่หรือบริการพื้นฐาน แต่คือความต้องการที่จะได้รับความเข้าใจ ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูล และการมีพื้นที่แห่งคุณค่าในสังคม</p> <p> ในการพัฒนาแนวทางการสร้างกำลังใจ ผู้วิจัยได้ประมวลและวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเน้นที่ “สังคหวัตถุ 4” อันประกอบด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา ซึ่งมิได้เป็นเพียงหลักธรรมเพื่อสันติภาพระหว่างบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกทางจิตวิญญาณที่สามารถฟื้นฟูพลังใจภายในของผู้สูงอายุได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อถูกร้อยรัดด้วยความเข้าใจในชีวิตตามแนวพุทธ เช่น ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน และการดำรงอยู่ด้วยสติ</p> <p> จากการสังเคราะห์ข้อมูลภาคสนามร่วมกับหลักธรรม ได้องค์ความรู้สรุปเป็นรูปแบบ “GBMC Model” เพื่อสร้างกำลังใจแก่ผู้สูงอายุตามหลักพุทธธรรม ประกอบด้วย G = Giving alms (ทาน), B = Beautiful speech (ปิยวาจา), M = Make yourself useful (อัตถจริยา), และ C = Consistency (สมานัตตตา) โดยโมเดลนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับครอบครัว ชุมชน วัด หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยต้นทุนต่ำแต่ส่งเสริมพลังภายในที่ยั่งยืน เป็นการรื้อฟื้นพลังแห่งธรรมะเพื่อประคับประคองจิตใจผู้สูงวัยให้ดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า ท่ามกลางสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสูงวัยอย่างสมบูรณ์</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4300
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ต้นแบบโดดเด่น
2025-09-12T15:51:31+07:00
นุกูล ทรงมงคลรัตน์
Krubreezt@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบาย วิเคราะห์ และสังเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น โดยพิจารณาจากแนวคิดทางทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรบรรลุผลสำเร็จอย่างยั่งยืน ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จขององค์กรคุณธรรมขึ้นอยู่กับการบูรณาการปัจจัยหลายด้าน ได้แก่ ภาวะผู้นำคุณธรรมที่เป็นแบบอย่างและกำหนดทิศทาง วัฒนธรรมองค์กรที่หล่อหลอมค่านิยมร่วม การมีส่วนร่วมของบุคลากรที่สร้างความผูกพัน การสนับสนุนจากภายนอกที่เสริมทรัพยากรและความชอบธรรม และการจัดการความรู้และนวัตกรรมที่ทำให้องค์กรสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงของปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดวงจรเกลียวคุณธรรมที่ช่วยเสริมสร้างความโดดเด่นและความยั่งยืนขององค์กร บทความนี้จึงนำเสนอกรอบแนวทาง “MORAL-NET Spiral Model” เป็นข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่สามารถใช้ขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรมในบริบทต่าง ๆ เพื่อเป็นต้นแบบที่เข้มแข็งและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4362
การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชาวิทยาการคำนวณโดยใช้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบ Macro model สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2025-09-18T10:37:34+07:00
สุรัตนา บุญคง
sutattana.bo@sinpun.ac.th
พีชาณิกา เพชรสังข์
sutattana.bo@sinpun.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิด<br />อย่างเป็นระบบของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Macro Model <br />ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Macro Model ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ จังหวัดกระบี่ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 7,401 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสินปุนคุณวิชญ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 34 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย <br />ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้<br />แบบ Macro Model มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67–1.00 2) แบบทดสอบ<br />วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.24–0.80 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20–0.56 และค่าความเชื่อมั่น 0.71 และ 3) แบบวัดความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 1.00 ความยากง่ายระหว่าง 0.47–0.65 <br />ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25–0.50 และค่าความเชื่อมั่น 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีสำหรับกลุ่มตัวอย่าง<br />ที่สัมพันธ์กัน (t-test for dependent samples)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบของนักเรียนหลังการเรียนรู้ด้วย Macro Model สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการเรียนรู้ด้วย Macro Model สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Macro Model ส่งผลต่อการพัฒนาทั้งทักษะการคิดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอย่างชัดเจน</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4211
รูปแบบการเจริญอสุภกรรมฐาน : กรณีศึกษาวัดป่าศรีวิไลย์ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
2025-09-04T12:51:14+07:00
พระวินัยธรประสิทธิ์ สุจิณฺโณ (คำมาก)
littlelittleme1212@gmail.com
ชัยชาญ ศรีหานู
littlelittleme1212@gmail.com
ธานี สุวรรณประทีป
littlelittleme1212@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาการเจริญกรรมฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาการเจริญกรรมฐานตามแนวอสุภกรรมฐาน 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเจริญอสุภกรรมฐาน ของวัดป่าศรีวิไลย์ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ซึ่งใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับหลักการ วิธีการเจริญอสุภกรรมฐาน แล้วนำข้อมูลมาเรียบเรียง วิเคราะห์ และอธิบายด้วยกระบวนการพรรณนา</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การศึกษาการเจริญกรรมฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท พบว่า กรรมฐาน หมายถึง อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการเจริญภาวนาเพื่อพัฒนาจิตใจ การปฏิบัติกรรมฐาน หรือการเจริญกรรมฐานจัดเป็นคันถธุระในธุระคือกิจที่ต้องทำของพระพุทธศาสนา 2 อย่าง คือ คันถธุระ กับวิปัสสนาธุระ การฝึกหัดจิตให้สงบ สงัด และมีอารมณ์เป็นเอกัคคตาจิตข่มกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ กรรมฐานมี 40 ชนิด มี อนุสสติ 10 กสิณ 10 อสุภะ 10 เป็นต้น ซึ่งเหมาะสมกับคนจริตต่าง ๆ การปฏิบัติกรรมฐานจึงเป็นการบริหารจิตหรือการพัฒนาจิตเบื้องต้นให้สงบจากนิวรณ์ ทำให้จิตสงบและเกิดปีติ สุขสบายในชีวิตปัจจุบัน ไม่วุ่นวาย และลดความเครียดที่เกิดกับร่างกายและจิต ทำให้จิตเกิดความเข้มแข็ง ไม่กลัวอารมณ์ที่มากระทบใด ๆ มีความสงบสุขและเป็นฐานพัฒนาจิตให้เข้าสู่วิปัสสนาญาณชั้นสูงได้ง่าย</p> <p>2) การเจริญกรรมฐานตามแนวอสุภกรรมฐาน พบว่า อสุภกรรมฐาน หมายถึง การพิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ ซึ่งกำหนดไว้มีทั้งหมด 10 อย่าง ได้แก่ 1) ซากศพที่พองขึ้น 2) ศพที่มีสีเขียวคล้ำคละด้วยสีต่าง 3) ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหล 4) ซากศพที่ขาดเป็น 2 ท่อน 5) ซากศพที่มีสัตว์กัดกิน 6) ซากศพที่กระจายไปในทิศต่าง ๆ 7) ซากศพที่ถูกฟันเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย 8) ศพที่ยังมีเลือดไหลออกอยู่ 9) ซากศพที่เต็มไปด้วยหนอน 10) ซากกระดูก หากผู้ปฏิบัติพิจารณาจนให้เกิดเป็นนิมิตได้ก็สามารถที่จะยกนิมิตนั้นขึ้นเป็นอารมณ์เพื่อพิจารณาได้ ซึ่งนิมิตดังกล่าวนั้นมี 2 ประเภท คือ อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต เมื่อเห็นได้ดังนี้แล้วแม้จะไม่มีซากศพก็สามารถยกขึ้นเป็นอารมณ์พิจารณาได้</p> <p>3) รูปแบบการเจริญกรรมฐานตามแนวอสุภกรรมฐานของวัดป่าศรีวิไลย์ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร พบว่า เป็นการเจริญกรรมฐานทั้ง 2 อย่างไปด้วยกันคือ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักมหาสติปัฏฐานโดยการรู้สภาวธรรมสรุปลงใน 4 ฐาน คือกาย เวทนา จิตและธรรม ให้เกิดเพียงการเกิด-ดับของขณะจิตและน้อมไปหาญาณชั้นสูง และการเจริญสมถกรรมฐานโดยการเจริญอสุภกรรมฐานเพื่อให้จิตไม่ฟุ้งซ่านกับอารมณ์เกาะเกี่ยวกับร่างกายของคน แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 1) รูปแบบการพิจารณาซากศพที่ตายและมีน้ำเหลืองไหลออกอยู่ มาเป็นอารมณ์ในการพิจารณาอสุภกรรมฐาน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเพิจารณาให้เห็นถึงความไม่สวย ไม่งาม ความน่ารังเกียจ ความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกายของมนุษย์เรา เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตน 2) รูปแบบการพิจารณาซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูก ซากศพที่ตายนานแล้วและเหลือแต่โครงกระดูก ทั้งที่สมบูรณ์ และไม่สมบูรณ์มาเป็นอารมณ์ในการพิจารณา เพื่อให้โยคีผู้ปฏิบัติได้พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ร่างกายมนุษย์ สุดท้ายแล้วแม้แต่โครงกระดูกก็ย่อมผุพังไปตามกาลเวลา เมื่อปฏิบัติพิจารณาและฝึกฝนจนชำนาญติดจิตจะสามารถได้นิมิตเรียกว่า อารมณ์อสุภกรรมฐาน และสามารถยกระดับจิตของตนได้ตามลำดับต่อไป องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยคือรูปแบบ “VS-2A model ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในการเจริญกรรมฐานให้สูงขึ้นไป</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4309
แนวทางการบริหารสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก
2025-09-12T15:54:26+07:00
พิมรดา เอนกศิลป์
park.pimrada@gmail.com
สรสิริ วรวรรณ
park.pimrada@gmail.com
ประภาวรรณ ตระกูลเกษมสุข
park.pimrada@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อสวัสดิการการมีบุตรใน 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีบุตรและข้าราชการครูที่ไม่มีบุตร ที่มีต่อสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษา 3) แนวทางการบริหารสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก จำนวน 240 คน โดยใช้แบบสอบถาม และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test (Independent Samples) การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน จากนั้นจึงเก็บรวมรวมข้อมูลเพื่อเสนอแนวทางการบริหารสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของข้าราชการครู ด้วยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน และนำผลข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้าราชการครูมีความคิดเห็นต่อสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านสิทธิการรักษาพยาบาลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือสิทธิดูแลบุตร สิทธิการให้นมบุตร สิทธิของบิดา สิทธิในการทำงาน และสิทธิการลาคลอดตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีบุตรและข้าราชการครูที่ไม่มีบุตรที่มีต่อสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษา พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน 3) แนวทางการบริหารสวัสดิการการมีบุตรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก ประกอบด้วย 6 ด้าน 19 แนวทาง</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4360
บทบาทของพระสงฆ์และความศรัทธาในยุคดิจิทัล การวิเคราะห์เชิงสังคมวิทยาและพุทธศาสนาศึกษา
2025-09-16T11:47:58+07:00
พระครูปลัดอัมพร อาภาธโร (นุชประเสริฐ)
thipprajongmali@gmail.com
มะลิ ทิพพ์ประจง
thipprajongmali@gmail.com
พระใบฎีกาสุชิณณะ อณินฺชิโต
thipprajongmali@gmail.com
นพวรรณ์ ไชยชนะ
thipprajongmali@gmail.com
บุญยืน งามเปรี่ยม
thipprajongmali@gmail.com
<p>บทความนี้เพื่อวิเคราะห์บทบาทและความศรัทธาของพระสงฆ์ในสังคมไทยยุคดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันสงฆ์กับพุทธศาสนิกชนที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผลการศึกษาพบว่าความศรัทธาของประชาชนในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการยึดติดกับพิธีกรรมแบบดั้งเดิมไปสู่ ความศรัทธาเชิงปัจเจกและความศรัทธาเชิงวิพากษ์มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้เกิดการตั้งคำถามและตรวจสอบพฤติกรรมของพระสงฆ์ได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้พระสงฆ์ยังได้ปรับตัวด้วยการเป็น “ผู้สร้างเนื้อหา (Content Creator)” บนแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเผยแผ่ธรรมะ และมีบทบาทเป็น นักกิจกรรมทางสังคม ในการช่วยเหลือชุมชนยามวิกฤต การปรับตัวดังกล่าวช่วยสร้างความศรัทธาที่ยั่งยืนผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรม แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญกับความท้าทายจากลัทธิบริโภคนิยมที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบันสงฆ์ งานวิจัยนี้เสนอว่าการปฏิรูปคณะสงฆ์ให้มีความโปร่งใสและการเสริมสร้างความรู้ความสามารถของพระสงฆ์ให้ทันสมัย จะเป็นแนวทางสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งศรัทธาและบทบาทของพระสงฆ์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณในอนาคต</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4117
ศึกษาการละวิปัสสนูปกิเลสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร
2025-08-30T14:18:03+07:00
พระภัทรชัย โชติโก (ระวังวงค์)
jackshadows2014@gmail.com
ธานี สุวรรณประทีป
jackshadows2014@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาวิปัสสนูปกิเลสในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร และ 3) เพื่อศึกษาการละวิปัสสนูปกิเลสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยใช้แนวทางมหาสติปัฏฐานสูตร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และเอกสารงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า วิปัสสนูปกิเลสเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 10 ประการ ได้แก่ โอภาส ปีติ ญาณ สุข อธิโมกข์ ปัคคหะ วีริยะ อุปัฏฐาน อุเบกขา และนิกันติ สภาวะเหล่านี้แม้ปรากฏคล้ายความก้าวหน้าในการภาวนา แต่แท้จริงเป็นสิ่งลวงจิตให้หลงเข้าใจผิด หากขาดสติสัมปชัญญะและปัญญา วิปัสสนาจะหยุดชะงักและเสื่อมถอยได้ การเจริญวิปัสสนาตามแนวทางมหาสติปัฏฐานสูตรจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรู้เท่าทันและละซึ่งวิปัสสนูปกิเลส ผ่านการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม ตามไตรลักษณ์อย่างมีอุเบกขา ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การละวิปัสสนูปกิเลสต้องอาศัย “อาตาปี สัมปชาโน สติมา” อย่างต่อเนื่อง และมีการวางจิตที่เป็นกลาง ไม่ยึด ไม่ผลัก และไม่หวัง จึงสามารถนำจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณขั้นสูงต่อไปได้อย่างมั่นคง องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ คือการชี้ให้เห็นอย่างเป็นระบบว่า สติปัฏฐานมิได้ทำหน้าที่เพียงกำหนดรู้สภาวธรรมเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถแยกแยะ “สภาวธรรมแท้” ออกจาก “สภาวะลวง” (วิปัสสนูปกิเลส) ได้อย่างชัดเจน จึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้กระบวนการเจริญปัญญาดำเนินต่อไปจนถึงการบรรลุมรรคผล</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4186
แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสมาธิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านปล้องตลาด ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
2025-08-31T21:43:13+07:00
พระสมุห์ไกรสิทธิ สุธมฺโม
tumtum692@gmail.com
วิโรจน์ คุ้มครอง
tumtum692@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ไว้ 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาสมาธิในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาบริบทการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านปล้องตลาด ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสมาธิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านปล้องตลาด ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 รูป/คน โดยวิเคราะห์เนื้อประกอบบริบท</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สมาธิในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลักธรรมในไตรสิกขา ทำหน้าที่ทำให้จิตตั้งมั่น เป็นบาทฐานของปัญญา แบ่งเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ สามารถประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเพื่อเตรียมจิต ลดความฟุ้งซ่าน และเสริมความพร้อมทางจิตใจบริบทการเรียนรู้มีจุดแข็ง เช่น พื้นฐานความรู้ตามเกณฑ์ บรรยากาศเป็นมิตร และกิจกรรมเสริมเอื้อต่อสมาธิ ข้อจำกัด ได้แก่ ทักษะคิดวิเคราะห์เชิงลึกต่ำ สมาธิไม่ต่อเนื่อง และสิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อมแนวทางพัฒนา ควรบูรณาการสมาธิอย่างเป็นระบบก่อน–ระหว่าง–หลังการเรียน จัดสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมเสริมให้เอื้อต่อสมาธิ เน้นใช้ขณิกสมาธิ และอุปจารสมาธิในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมความจดจ่อข้อเสนอแนะ ได้แก่ ครูควรใช้กิจกรรมสมาธิสั้น ๆ ในการเรียนและกิจกรรมเสริม จัด “มุมสงบ” ในห้องเรียน และพัฒนาศักยภาพครูด้านการฝึกสมาธิ ข้อเสนอแนะการวิจัยต่อไป ควรศึกษาผลเชิงปริมาณ เปรียบเทียบรูปแบบสมาธิ และบูรณาการสมาธิกับสื่อดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4446
ความเงียบในห้องเรียนเสมือน: อัตชาติพันธุ์วรรณนาเพื่อไตร่ตรองตนเองและจิตวิญญาณความเป็นครู
2025-09-20T15:06:12+07:00
อนิรุทธิ์ สมเสาร์
anir.soms@nmc.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่ออธิบายและสร้างความหมายของความเงียบของนักศึกษาในบริบทการเรียนรู้ออนไลน์จากมุมมองของผู้วิจัย โดยการวิเคราะห์และตีความเชิงลึกถึงความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังความเงียบดังกล่าว 2) เพื่อศึกษาวิธีการที่ผู้วิจัยใช้การไตร่ตรองเพื่อจัดการกับความเงียบระหว่างการเรียนการสอน โดยสำรวจกลยุทธ์และกระบวนการไตร่ตรองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางบวก และ 3) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณของความเป็นผู้วิจัยในบริบทของการสอนออนไลน์ โดยการเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้วิจัยกับมิติทางจิตวิญญาณของการเรียนรู้ ผ่านการใช้ระเบียบวิธีวิจัยอัตชาติพันธุ์วรรณนา (Autoethnography) โดยเก็บข้อมูลจากประสบการณ์เฉพาะของผู้วิจัย รวมไปถึงสมุดบันทึกและเอกสารส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงฉากทัศน์ โดยยึดแนวทางการวิเคราะห์ในงานอัตชาติพันธุ์วรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ความเงียบไม่ได้เป็นเพียงการขาดการตอบสนอง หรือสัญญาณของการไม่สนใจ หากแต่เป็นภาษาการสื่อสารที่ไร้ถ้อยคำ และมีรูปแบบที่หลากหลายซับซ้อน</p> <p> 2) การจัดการกับความเงียบในห้องเรียนออนไลน์มิใช่เพียงการตอบสนองเฉพาะหน้า แต่เป็นผลของ “กระบวนการไตร่ตรองอย่างมีระบบ” ที่ประกอบด้วยการบันทึกเหตุการณ์ ความรู้สึกและการตีความที่เกิดขึ้นหลังการสอนทุกครั้ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความเงียบเกิดขึ้นอย่างเด่นชัด</p> <p> 3) “จิตวิญญาณของความเป็นครู” ในบริบทออนไลน์ ประกอบด้วยคุณลักษณะเฉพาะสามประการ ได้แก่ (1) ความเป็นผู้สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึกปลอดภัยและมีตัวตน แม้จะไม่มีพื้นที่กายภาพที่ชัดเจน (2) ความเป็นผู้ฟังที่ลึกซึ้ง ซึ่งรวมถึงการฟังเสียง การฟังความเงียบและการฟังด้วยหัวใจในสิ่งที่ไม่ถูกพูดออกมา และ (3) ความเป็นผู้เชื่อมโยงข้ามขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง เวลาหรือบริบทชีวิตที่แตกต่าง</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4027
RESEARCH ON THE IMPLEMENTATION OF CANTONESE GRAY SCULPTURE ARCHITECTURAL DECORATIVE SCULPTURES IN PRIMARY SCHOOL CURRICULUM: BASED ON THE DUAL PERSPECTIVES OF CULTURAL INHERITANCE AND EDUCATIONAL INNOVATION
2025-08-23T14:14:23+07:00
Zhang Rufang
32779046@qq.com
Jantana Khochprasert
32779046@qq.com
Poradee Panthupakorn
32779046@qq.com
Chusak Suvimolstien
32779046@qq.com
<p>This study aimed to explore the feasibility, effectiveness, and conservation benefits of systematically integrating the national intangible cultural heritage of Cantonese gray-plastic architectural decorative sculpture (hereafter referred to as “gray sculpture”) into the primary school curriculum. The study employed a mixed-method approach, combining literature analysis, questionnaires, in-depth interviews, and classroom observations. A one-year follow-up study was conducted among 425 students, 35 teachers, and 12 intangible cultural heritage inheritors and cultural experts from three pilot primary schools in Guangzhou.</p> <p>This study was analyzed using SPSS 26.0 and NVivo 12. Results showed that a model combining project-based learning (PBL) with “intangible cultural heritage inheritors in the classroom” was the most effective, significantly enhancing students’ understanding of gray sculpture, their cultural identity, and their willingness to inherit it. This study innovatively constructed a gray sculpture “ Double Helix • Four Dimensions” campus inheritance model, with “cultural inheritance” and “educational innovation” as the core of the double helix, and “course content, teaching practice, support system, and evaluation feedback” as the four basic dimensions, providing a systematic, replicable and evaluable theoretical model and practical framework for the dynamic inheritance of intangible cultural heritage on campus.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4006
BRUSH AND INK FOLLOWING THE TIMES: REACTIVATING CLASSICAL METHODOLOGIES IN CONTEMPORARY SHANSHUI
2025-08-22T18:27:02+07:00
Wang JingQiao
13998866689@139.com
<p>This study reframes “brush and ink following the times” from material nostalgia to procedural literacy, proposing a portable grammar for contemporary shanshui (Chinese landscape painting). Drawing on classical treatises and Song–Yuan exemplars, it distills a 14-unit taxonomy-including distance architecture, value-first atmosphere, reserve and “white lines,” calligraphic bone-line, structural rhythm, and viewing paths. Each unit is paired with studio cues and contemporary translation slots.</p> <p> Reactivation is operationalized through the ITC mechanism (Inheritance–Translation–Coexistence): inherit structural grammar, translate techniques via media-appropriate means, and test coexistence for landscape legibility and relevance today. A case study of Yang Yongliang’s Artificial Wonderland anchors the analysis. Findings show that urban micro-modules and photographic compositing can reconstruct composite distances. Grayscale control and haze re-enact ink hierarchy, while optical gaps reassign reserve. These strategies achieve recognizable shanshui without imitating historical surfaces.</p> <p> The study also proposes six guiding principles and twelve operations to make reactivation teachable. A THA instrument (Timeliness, Heritage, Aesthetic coherence; 1–5) is introduced for diagnostic review. Discussion situates the work within scholarship on the “three distances” as compositional routes, reframing modern change as functional reassignment rather than rupture. Pedagogical and curatorial implications emphasize grammar-first instruction and structural legibility in exhibition design. Overall, contemporary credibility depends less on traditional tools than on safeguarding distance logic, value scaffolds, active reserve, and choreographed gaze-procedures that speak to urbanization, technology, and ecological anxiety with a recognizably Chinese inflection.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3996
AN ANALYSIS OF THE NARRATIVE STRUCTURE AND FILM STYLE OF SOUTH KOREAN CULT FILMS
2025-08-20T20:30:30+07:00
Wang JingQiao
13998866689@139.com
<p>This study focuses on how narrative structure and film style contribute to the cult status of contemporary South Korean cinema. Four films—Oldboy (2003), Memories of Murder (2003), Lady Vengeance (2005), and Mother (2009)—are analyzed through qualitative textual analysis grounded in narrative theory and film stylistics. The analysis covers both narrative elements (plot, character, viewpoint, theme) and stylistic features (mise-en-scène, camerawork, lighting, sound, editing, color).</p> <p> Findings show frequent use of non-linear plotting, unreliable or imited narration, and ethically uncertain endings. These narrative strategies converge with symbolic imagery and emotionally intense performances to stage trauma, revenge, guilt, and identity crisis. Stylistically, spatial constriction, controlled camera movement, low-key lighting, minimal sound design, and an alternation between long takes and sharp montage intensify emotional realism and moral uncertainty. Color functions as a visual signal of meaning —muted palettes punctuated by saturated highlights—embedding meaning within the visual field. Taken together, these features constitute a hybrid cinematic language that marries global genre conventions with South Korean cultural themes such as haan and social critique.</p> <p> The study identifiesa recurrent arc (setup–incitement–escalation–confrontation–open resolution) while showing how deviations from classical continuity foster cult appeal. It argues that South Korean cult films serve as vehicles of cultural memory and public sentiment rather than mere shock aesthetics, expanding prevailing accounts of cult cinema beyond camp or excess. The conclusions inform pedagogy, criticism, and comparative work on Asian and global cult cinemas.</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3653
ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยในโรงเรียน เครือคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ในประเทศไทย
2025-07-19T21:01:25+07:00
ปัณฑิตา อินพาเพียร
callistusspc96@gmail.com
สุชาดา บุบผา
callistusspc96@gmail.com
<p>วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนในเครือคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตรในประเทศไทย โดยใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูระดับปฐมวัย ของโรงเรียนในเครือคณะภคินีเซนต์ ปอล เดอ ชาร์ตรในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 175 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น โดยใช้สูตรในการวิเคราะห์ดังนี้ </p> <p>(PNI <sub>Modified</sub>) = (I-D)/D</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนในเครือคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ในประเทศไทย โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับ สภาพปัจจุบันลำดับที่หนึ่งคือด้านการให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดประสบการณ์ ตามลำดับ ลำดับสองด้านการบริหารหลักสูตร ตามลำดับ ลำดับสามด้านการจัดสภาพแวดล้อมและสื่อเพื่อการเรียนรู้ ตามลำดับ ลำดับที่สี่และลำดับที่ห้าด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านบริหารคุณภาพของสถานศึกษา 2) สภาพที่พึงประสงค์ลำดับหนึ่งคือ ด้านการบริหารคุณภาพของสถานศึกษา ลำดับสองด้านการจัดสภาพแวดล้อมและสื่อเพื่อการเรียนรู้ ตามลำดับ <strong> </strong>ลำดับสามด้านการพัฒนาครูและบุคลากร ตามลำดับ ลำดับที่สี่และลำดับที่ห้า ด้านการบริหารหลักสูตร ด้านการให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดประสบการณ์ ตามลำดับ ผลการพิจารณาความต้องการจำเป็นของ พัฒนาการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนในเครือคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร พบว่ามีความจำเป็นต้องลดด้านการให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดประสบการณ์มากที่สุดลำดับที่หนึ่ง รองลงไป ลำดับสองด้านการบริหารหลักสูตร ลำดับสามด้านการพัฒนาครูและบุคลากร ลำดับสี่และลำดับห้า ด้านการจัดสภาพแวดล้อมและสื่อเพื่อการเรียนรู้และด้านการบริหารคุณภาพของสถานศึกษา ตามลำดับ 3) ดัชนีความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนในเครือคณะภคินีเซนต์ปอล เดอชาร์ตรในประเทศไทยโดยภาพรวมค่า (PNI <sub>modifieds</sub>) เท่ากับ 0.60 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีความต้องการจำเป็นที่ต้องลด คือ ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา รองลงมาคือ ด้านการให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนจัดประสบการณ์ ด้านการบริการหลักสูตร ด้านการจัดสภาพแวดล้อมและสื่อเพื่อการเรียนรู้ และ ด้านการบริหารคุณภาพของสถานศึกษา ตามลำดับ</p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4582
พุทธวิธีเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากร สำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน
2025-09-27T14:29:34+07:00
พัชร์ศศิ เรืองมณีญาต์
bumbunsiya@gmail.com
จิรัตติกาล สุขสิงห์
bumbunsiya@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพุทธวิธีเตรียมความพร้อมตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์กับการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ และ 3) เพื่อนำเสนอพุทธวิธีเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน ดำเนินการวิธีวิจัยแบบผสานวิธี เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างในบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน จำนวน 150 คน และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.981 และใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.62, S.D.= 0.86) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธวิธีเตรียมความพร้อมตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์กับการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน พบว่า หลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน ในระดับมาก (R=.895**) และ 3. พุทธวิธีเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการของบุคลากรสำนักงานชลประทานที่ 1 กรมชลประทาน พบว่า มีสาระสำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 หลักพุทธวิธี ได้แก่ หลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ซึ่งเป็นส่วนช่วยเสริมการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย ด้านอุฏฐานสัมปทา ขยันหา อารักขสัมปทา รักษาดี กัลยาณมิตตตา มีกัลยาณมิตร และสมชีวิตา ใช้ชีวิตพอเพียง ส่วนที่ 2 การเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นผลจากการนำหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เข้ามาบูรณาการกับการทำงานและการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจรายได้ ด้านสุขภาพ ด้านการใช้สติปัญญา ด้านการใช้เหตุผล ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และด้านธรรมชาติชีวิต </p>
2025-10-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4179
ความสัมพันธ์ของนวัตกรรมดิจิทัลกับการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1
2025-08-31T21:33:57+07:00
นันทิกร อุดมศิลป์
nanthikorn2499@gmail.com
พุทธกาล แก้สุข
nanthikorn2499@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการนำนวัตกรรมดิจิทัลและการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 และ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างนวัตกรรมดิจิทัลกับการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 3) วัตถุประสงค์ที่ 3 เพื่อวิเคราะห์ระดับนวัตกรรมดิจิทัลที่มีอิทธิพลต่อการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารระดับชั้นปี จำนวน 168 คน ได้จากการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ<br />ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.การจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาและส่งเสริมศักยภาพ (M=4.17, SD=0.799) การคัดกรองและติดตามพฤติกรรม (M=4.15, SD=0.694) และการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล (M=4.09, SD=0.788) ระดับการนำนวัตกรรมดิจิทัลอยู่ในระดับปานกลางค่อนสูง ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (M=3.73, SD=0.780) ระบบฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ (M=3.72, SD=1.051) และ เครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือ (M=3.71, SD=0.980)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2.ความสัมพันธ์พบว่า การจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3.มีความสัมพันธ์เชิงบวกและมีนัยสำคัญกับทั้งสามมิติของนวัตกรรมดิจิทัล (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร r=.729; เครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือ r=.689; ระบบฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ r=.594; p<.01)</span></p> <ul> <li>ผลการถดถอยพหุคูณยืนยันว่า ทั้งสามมิติเป็นผู้ทำนายเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร b=0.346, β.530, t=12.737, p<.001; ระบบฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ b=0.138, β=.233, t=4.897, p<.001; เครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือ b=0.119, β=.171, t=4.213, p<.001) ชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมดิจิทัลมีความสัมพันธ์ต่อระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1</li> </ul>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4299
รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก
2025-09-28T12:46:00+07:00
นุกูล ทรงมงคลรัตน์
Krubreezt@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของสถานศึกษาในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา ศึกษาความสำคัญและแนวทางการประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก และเสนอรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อการพัฒนาผู้เรียนในบริบทของสถานศึกษา โดยอาศัยการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผลการสังเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า การบริหารจัดการการศึกษาที่มีประสิทธิภาพควรบูรณาการวงจร PDCA เข้ากับองค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา และกำหนดนโยบายที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ขณะเดียวกันการนำ Active Learning เข้ามาเป็นระบบงานของสถานศึกษาสามารถยกระดับคุณภาพผู้เรียนทั้งด้านวิชาการ ทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกัน และคุณธรรมจริยธรรมได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามยังคงมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เวลา และวัฒนธรรมการสอบที่ควรได้รับการแก้ไข บทความจึงเสนอรูปแบบการบริหารจัดการที่มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การกำหนดนโยบายและวิสัยทัศน์เชิงคุณภาพ การปรับโครงสร้างการจัดการเรียนรู้ การสนับสนุนครูและบุคลากร และการประเมินผลเชิงสมรรถนะ พร้อมขั้นตอนการดำเนินงานที่ต่อเนื่องจากการกำหนดนโยบายสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สถานศึกษาสามารถพัฒนาผู้เรียนที่มีคุณภาพและสมรรถนะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4951
การพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรมบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน กรณีศึกษา เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-10-17T20:31:04+07:00
พระมหาเอกกวิน ปิยวีโร (อะซิ่ม)
arkarin.som@mbu.ac.th
อัครินทร์ สมศักดิ์
arkarin.som@mbu.ac.th
พระมหาอดิศักดิ์ คเวสโก (ฉีดอิ่ม)
arkarin.som@mbu.ac.th
ศักดิ์ศิธร ชุมแก้ว
arkarin.som@mbu.ac.th
พระมหานาวิน ภทฺรตนฺติเมธี (อรุณรัตน์)
arkarin.som@mbu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพรรณาสภาพทั่วไปของการพัฒนาเมือง และทุนวัฒนธรรมเขตเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรมบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรมบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน กำหนดแบบเจาะจง ประกอบด้วย นักวิชาการ บุคลากรที่สังกัดเทศบาลเมืองทุ่งสง ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน คณะกรรมการประชาคมวัฒนธรรม และ ตัวแทนผู้ค้าสินค้าวัฒนธรรม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบแก่นสาระ<br />ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.สภาพการพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรมของเทศบาลเมืองทุ่งสง ดำเนินการผ่านหลาดชุมทางทุ่งสงที่สร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในเขตอำเภอทุ่งสง ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2.ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรม ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ และ ด้านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3.แนวทางในการพัฒนาเมืองด้วยทุนวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1) การกำหนดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารท้องถิ่น 2) การจัดตั้งคณะทำงานที่มาจากหลายอาชีพและมีจิตอาสา 3) การมอบหมายหน้าที่และภารกิจตามความถนัด 4) การศึกษาข้อมูลทุกมิติและวิเคราะห์ด้วย SWOT Analysis 5) การมีเครือข่ายทำงานเฉพาะด้านและหลากหลาย 6) การตระหนักรู้และรู้คุณค่าเมืองของประชาชน 7) การลงมือปฏิบัติ และ 8) การติดตามและประเมินผล</span></p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4452
ปัญหาทางกฎหมายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมาย ศึกษากรณีกฎหมายไทยในบริบทเปรียบเทียบ
2025-09-21T18:40:05+07:00
รุ่งทิวา คงสนุ่น
littlelittleme1212@gmail.com
สังเวียน เทพผา
puirungtiwa@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมายของไทย 2. เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีและพัฒนาการเกี่ยวกับการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมาย 3. เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศและของประเทศไทยเกี่ยวกับการกำกับดูแลการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการร่างกฎหมาย 4. เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวทางการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายให้รองรับการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมายของไทยอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อระบบนิติธรรมมุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมายของประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสารควบคู่กับการวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเอสโตเนีย ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า แม้ปัญญาประดิษฐ์จะมีศักยภาพในการยกระดับประสิทธิภาพ ความรวดเร็วและความแม่นยำของกระบวนการนิติบัญญัติ แต่ประเทศไทยยังขาดกรอบกฎหมายเฉพาะ บุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่เหมาะสม ส่งผลให้ไม่สามารถบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้ว บทความวิจัยได้เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการกำหนดกรอบการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาเทคโนโลยีเชิงอธิบาย และการยกระดับองค์ความรู้ของบุคลากรภาครัฐให้สามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการร่างกฎหมายอย่างรู้เท่าทัน</p> <p> บทความวิจัยนี้จึงไม่เพียงเป็นการวิเคราะห์เชิงนิติวิธีเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นทุนทางปัญญาในการพัฒนากรอบการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ที่เหมาะสมกับบริบทกฎหมายไทย และผู้วิจัยตั้งใจที่จะต่อยอดองค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ในระดับปริญญาเอก เพื่อเสนอรูปแบบเชิงกลยุทธ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในระบบนิติบัญญัติของประเทศไทย</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4549
การพัฒนานโยบายการจัดบริการทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย
2025-09-26T11:59:24+07:00
ภัณฑิลา น้อยเจริญ
warissa2023@gmail.com
พระครูปริยัติรัตนาลงกรณ์ (สิงหา มุ่งหมาย)
warissa2023@gmail.com
ทองคำ ดวงขันเพ็ชร
warissa2023@gmail.com
อริย์ธัช เลิศรวมโชค
warissa2023@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสภาพปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการจัดบริการทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ 2) ระดับความต้องการในการจัดสวัสดิการบริการสังคมของผู้สูงอายุ 3) ข้อเสนอแนะต่อการนโยบายการให้บริการทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ และ 4) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนานโยบายการจัดบริการทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุ จำนวน 366 คน คำนวณจากวิธีการของยามาเน่ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน เป็นการกำหนดแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสอบถาม มีความเชื่อมั่นเท่ากับ .976 และแบบสัมภาษณ์ เป็นเครื่องมือในการวิจัย ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการพรรณนาและอภิปรายผล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสภาพปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการจัดบริการทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) ระดับความต้องการในการจัดสวัสดิการบริการสังคมของผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับสูง 3) ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนานโยบายการ คือ ควรพิจารณาปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ควรมีการเพิ่มงบประมาณในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวัน 4) แนวทางการพัฒนานโยบายการจัดบริการทางสังคม (1) พัฒนารายได้ผู้สูงอายุจากภาระสู่พลังทางเศรษฐกิจ (2) ดูแลสุขภาพด้วยระบบเชิงรุก ไม่ใช่การรอป่วย (3) พัฒนาการศึกษาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในโลกดิจิทัล (4) พัฒนาที่อยู่อาศัยด้วยภาวะสูงวัยในบ้านเดิมอย่างปลอดภัย (5) พัฒนากิจกรรมนันทนาการให้รู้สึกว่ามีคุณค่าไม่ถูกลืม (6) พัฒนาศูนย์ที่พึงที่เข้าถึงง่ายและไว้วางใจได้ และ (7) พัฒนาการให้บริการด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่ทำตามหน้าที่</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4571
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจ เรื่องพระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2025-09-26T12:15:21+07:00
ภูรินทร์ ตินานพ
dr.adisorn@nmc.ac.th
อดิศร บาลโสง
dr.adisorn@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องพระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องพระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องพระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโพธิ์สัยสว่างวิทย์ จำนวน 9 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจ และแผนการจัดการเรียนรู้แบบ<br />ซิปปา จำนวน 10 แผน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Wilcoxon Signed-Rank Test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องพระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 <br />มีประสิทธิภาพ 82.22/84.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้</p> <p> 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี 4 หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 84.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3) นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการพัฒนาการเรียนรู้เรื่อง พระไตรปิฎกและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4481
มาตรการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดข้อหาเสพยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564
2025-09-23T13:41:17+07:00
วริทธิ์ ชูวารี
littlelittleme1212@gmail.com
สังเวียน เทพผา
golferwit@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาความเป็นมา สภาพปัญหา แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับมาตรการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายเสพยาเสพติด พ.ศ. 2564 <br />2) ศึกษามาตรการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดข้อหาเสพยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 3) แนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์จากเอกสารทางกฎหมายทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย และมีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย พบว่า 1) ความเป็นมาและสภาพปัญหาการบังคับใช้กฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ยังมีปัญหาทั้งเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติ เช่น การตีตราผู้เสพ การเลือกปฏิบัติ และการไม่เน้นการฟื้นฟู โดยแนวคิดที่เกี่ยวข้องได้แก่ สิทธิมนุษยชน ทฤษฎีการลงโทษเพื่อการแก้ไข และหลักการทางอาญาที่มองว่าผู้เสพควรเป็นผู้ป่วยมากกว่าผู้กระทำผิด 2) มาตรการทางกฎหมายปัจจุบัน แม้กฎหมายมีการปรับปรุง แต่ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น บทลงโทษที่ไม่เหมาะสม การควบคุมตัวที่ไม่ชัดเจน และขาดระบบฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ จึงเสนอให้แก้ไขบทบัญญัติบางมาตรา เพิ่มบทนิยาม การจัดตั้งคณะกรรมการ และเปลี่ยนโทษผู้เสพจากโทษอาญาเป็นโทษทางปกครอง รวมถึงใช้ระบบแพทย์ในการวินิจฉัยและบำบัดผู้เสพ 3) ข้อเสนอแนะการปรับปรุงกฎหมายในอนาคตควรแยกผู้เสพออกจากผู้ค้ายาอย่างชัดเจน ลดบทลงโทษโดยเน้นการฟื้นฟู เพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ ส่งเสริมบทบาทชุมชน และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยครอบคลุมสารเสพติดรูปแบบใหม่ โดยมุ่งสู่ระบบที่เป็นธรรมและเน้นการคืนคนดีสู่สังคม</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4576
คุณภาพชีวิตการทำงานและปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทรา
2025-09-27T14:26:00+07:00
สกลวรรธน์ ดำทองสุก
me_faro@hotmail.co.th
วัลลภ รัฐฉัตรานนท์
me_faro@hotmail.co.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับปัจจัยคุณภาพชีวิตการทำงานและปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทรา <strong><em><br /></em></strong>2)เพื่อศึกษาระดับความผูกพันกับองค์การของข้าราชการตำรวจจังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานและปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทรา รูปเป็นวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทราระดับชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน จำนวน 240 คนโดยการสุ่มอย่างง่าย แบบเฉพาะเจาะจง และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามมีค่าเท่ากับ 0.96 สถิติในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) คุณภาพชีวิตในการทำงานในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานที่มีค่าอยู่ในระดับมากที่สุด อันได้แก่ ด้านรายได้และผลตอบแทนที่เพียงพอยุติธรรม ด้านสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะด้านความก้าวหน้าและความมั่นคง ด้านความสัมพันธ์อันดีในการทำงานร่วมกันด้านความเป็นประชาธิปไตยในองค์กรด้านความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวด้านความภูมิใจในองค์การที่มีคุณค่าทางสังคม 2) ความผูกพันต่อองค์การในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านทัศนคติด้านพฤติกรรมด้านบรรทัดฐานทางสังคม และ 3) คุณภาพชีวิตการทำงานและปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่า คุณภาพชีวิตการทำงานและปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจในจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4590
วิธีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนตามแนวทาง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2025-09-27T14:36:49+07:00
พระสมุห์สุทธิพงษ์ สิริวฑฺฒโน
littlelittleme1212@gmail.com
สมชัย ศรีนอก
phrasmuhsuththiphngssiriwththt@gmail.com
พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม
phrasmuhsuththiphngssiriwththt@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิธีพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง การรับรู้ถึงความพึงพอใจในการดำรงชีวิต การมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีในด้านสุขภาพกาย ด้านจิตใจ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และการมีคุณภาพชีวิต ทั้งในส่วนบุคคล ครอบครัวและชุมชน รู้จักการบริหารตนเอง เอื้ออาทรต่อบุคคลอื่นมีอาชีพและรายได้ที่พอเพียงต่อการดำรงชีวิต ทำให้ชีวิตมีคุณค่า มีความเจริญงอกงาม ช่วยให้ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในสังคมลดน้อยลง ประโยชน์ของคุณภาพชีวิตของชุมชน ได้แก่ (1) ช่วยให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิติอยู่ในสังคมโดยมีแนวทางในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข <br />(2) ช่วยกระตุ้นให้บุคคลและสังคมเกิดความกระตือรือร้นเร่งคิดปรับปรุงตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม (3) ช่วยให้บุคคลรู้จักใช้ปัญญา มีเหตุผล มีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อนำหลักการบริหารมาใช้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม (4) ช่วยให้บุคคลและสังคมอยู่ร่วมกันด้วยความสมานฉันท์ ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในสังคม (5) ช่วยให้บุคคลและสังคมมีความรู้ความเข้าใจอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณี และศักยภาพของชุมชนที่ยึดถือปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ (1) ส่งเสริมการรวมตัวของชุมชน (2) จัดให้มีกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนอย่างต่อเนื่อง (3) ส่งเสริมให้กลุ่มปราชญ์ชาวบ้านถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น (4) สร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลง (5) สร้างโอกาสและสภาพแวดล้อมในชุมชนให้เอื้อต่อการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (6) สร้างความมั่นคงของเศรษฐกิจ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4570
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับชุมชนเป็นฐาน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2025-09-26T12:13:00+07:00
ทวีพัชร์ ศรีช่วย
drtidarat@gmail.com
ธิดารัตน์ สมานพันธ์
drtidarat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ รายวิชา สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับชุมชนเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับชุมชนเป็นฐาน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านแม่ขรี(สวิงประชาสรรค์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พัทลุง เขต 2 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้อง รวมทั้งสิ้น 28 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Sample t-test)<br />ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ รายวิชา สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับชุมชนเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิตที่ 0.05<br /></span>2.ความพึงพอใจต่อโดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมเป็นฐานร่วมกับชุมชนเป็นฐาน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/4606
การนำนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตไปปฏิบัติและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-09-29T12:43:34+07:00
มยุรี ครองยุติ
Mayuree.fon77@gmail.com
กานดา ผรณเกียรติ์
Mayuree.fon77@gmail.com
เบญยาศิริ งามสอาด
Mayuree.fon77@gmail.com
<p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) วิเคราะห์การนำนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปปฏิบัติ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ คือ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 1,066,439 คน นำมาคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน่ ได้ จำนวน 400 คน สัมภาษณ์ผู้นำท้องถิ่น และประชาชน รวม 20 คน เครื่องมือการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์นำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์เนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี การนำนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตไปปฏิบัติ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยการจัดสรรทรัพยากร <strong><br /></strong>มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ผลการวิเคราะห์การนำนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตไปปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมของประชาชน การมีส่วนร่วมในการประชุมรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล มีความสัมพันธ์เชิงบวก กับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <strong>.</strong>05 3) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วย “นโยบายที่ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งในด้านการวางแผน การดำเนินงาน และการประเมินผล” พร้อมทั้งปฏิรูปโครงสร้างการทำงานภาครัฐให้เปิดกว้าง โปร่งใส และเข้าใจความซับซ้อนของบริบทพื้นที่</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JISDIADP/article/view/3914
ENHANCING FLIGHT SERVICE SKILLS THROUGH DAVIES’ INSTRUCTIONAL MODEL AND VIRTUAL REALITY: A LEARNING INNOVATION FOR UNDERGRADUATES
2025-08-12T21:01:27+07:00
Yingzhi Hu
rossarin_j@rmutt.ac.th
Rossarin Jermtaisong
rossarin_j@rmutt.ac.th
Pornpirom Lhongsap
rossarin_j@rmutt.ac.th
<p>The objectives of the study were to: 1) comparing the flight service skills before and after they had learned through traditional activities, 2) comparing the flight service skills before and after they had learned through Davies’ instructional model and Virtual Reality activities, and 3) comparing the flight service skills between those who had learned through traditional activities and those who had learned through Davies’ instructional model and Virtual Reality activities. The sample group was 60 second-year undergraduate students during the academic year 2024-2025 at the Science and Technology College of a Chinese university. The samples were selected by cluster random sampling. The instruments consisted of 1) the learning management plan using the traditional activities, 2) the learning management plan using Davies' instructional model and Virtual Reality activities, and 3) the assessment of flight service skills. The statistics used to analyze the data were mean, standard deviation, independent samples t-test, and dependent samples t-test.</p> <p> The results showed that: 1) the flight service skills the second-year undergraduate students after learning through the traditional activities were higher than those before learning at the statistical significance level of .05; 2) the flight service skills of the students after learning through the Davies' instructional model and Virtual Reality activities were higher than those before learning at the statistical significance level of .05; and 3) the flight service skills of the students after learning through Davies' instructional model and Virtual Reality activities were higher than those after learning through the traditional activities at the statistical significance level of .05.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม