วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JERPH_Yala
<p> </p> <p><strong>วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข<br /></strong> วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข (Journal of Education and Research in Public Health : JERPH) หมายถึง การศึกษาทางสาธารณสุขและการวิจัยทางสาธารณสุข เป็นวารสารที่มีการเผยแพร่ความรู้จากการศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ผ่านบทความประเภทต่างๆ สู่สาธารณะในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-journal) <strong>โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญสาขาที่เกี่ยวข้องประเมินบทความจำนวน 3 ท่าน/บทความ แบบปกปิด 2 ทาง (Double blind)</strong></p> <p><strong>TCI : กลุ่มที่ 2<br /><br /></strong><strong>ISSN :</strong> 2985-0126 (Online)</p> <p><strong>กำหนดการออก : ราย 4 เดือน ออกปีละ 3 ฉบับ</strong><br /> ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม - เมษายน <br /> ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม <br /> ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>การตีพิมพ์เผยแพร่ : <br /></strong> ปี พ.ศ. 2566 – 2568 เผยแพร่ฉบับละ 5 – 7 บทความ<br /> ปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป เผยแพร่ฉบับละ 7 – 10 บทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ :</strong> <strong><br /></strong> ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความในทุกขั้นตอน</p> <hr /> <p><strong>ขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สังคมศาสตร์ (การสาธารณสุข, การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ)</p> <hr /> <p><strong>นโยบายการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข เป็นวารสารราย 4 เดือน ออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม - เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน - ธันวาคม) จัดทำโดยวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลา มีจุดมุ่งหมายในการตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบบทความภาษาไทย ทั้งจากภายในและภายนอกวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลา โดยดำเนินการจัดทำและเผยแพร่เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) หมายเลข ISSN : 2985-0126 (Online) จึงได้มีนโยบายในการจัดการวารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข ดังนี้<br /> 1. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นบทความจากทั้งบุคลากรภายในและบุคลากรภายนอกวิทยาลัยฯ ที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่นๆ หากตรวจสอบพบว่ามีการจัดพิมพ์ซ้ำซ้อนถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์แต่เพียงผู้เดียว<br /> 2. บทความ ข้อความ ภาพประกอบ และตารางประกอบที่ลงพิมพ์ในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นตามเสมอไป และไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์เพียงผู้เดียว<br /> 3. บทความที่ตีพิมพ์ลงในวารสารจะต้องมีรูปแบบตามที่วารสารกำหนดเท่านั้น</p> <hr /> <p><strong>นโยบายการประเมินบทความ</strong></p> <p> บทความที่จัดพิมพ์ในวารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุขได้รับการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) <strong>โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญสาขาที่เกี่ยวข้องประเมินบทความจำนวน 3 ท่าน/บทความ แบบปกปิด 2 ทาง (Double blind)</strong><br /> <strong> บทความ</strong><br /> ภายในวิทยาลัย : ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอก <br /> หน่วยงานภายนอก : ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากภายในวิทยาลัยฯ และ/หรือหน่วยงานภายนอก</p> <hr /> <p><strong>ประเภทของบทความที่ตีพิมพ์</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย (Research article) เป็นบทความทั้งวิจัยพื้นฐานและวิจัยประยุกต์</li> <li>บทความวิชาการ (Academic article) เป็นบทความที่วิเคราะห์ประเด็นตามหลักวิชาการ โดยมีการทบทวนวรรณกรรมและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ</li> <li>บทบรรณาธิการ (Editorial)</li> <li>บทความปริทัศน์ (Review article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากวารสารหรือหนังสือต่างๆ นำมาเรียบเรียง วิเคราะห์ วิจารณ์ให้เกิดความกระจ่างมากในประเด็นนั้นๆมากยิ่งขึ้น</li> <li>บทความพิเศษ (Special article) เป็นบทความที่แสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในความสนใจเป็นพิเศษ หรือเป็นบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ</li> <li>รายงานเบื้องต้น (Short report or pilot study) เป็นการนำเสนอรายงานผลการศึกษาวิจัยที่ทำเสร็จยังไม่สมบูรณ์และต้องศึกษาต่อเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมหรือเป็นการศึกษาเบื้องต้นที่ผลการศึกษาไม่พบความสัมพันธ์ในสิ่งที่ศึกษามีลำดับเนื้อเรื่องเหมือนนิพนธ์ต้นฉบับ</li> <li>กรณีศึกษา (Case study) เป็นการศึกษาสถานการณ์ที่น่าสนใจและมีผลกระทบกับสุขภาพ หรือเป็นการนำเสนอผู้ป่วยที่ไม่ธรรมดาหรือกลุ่มอาการโรคใหม่ที่ไม่เคยมีรายงานมาก่อน หรือพบไม่บ่อย</li> </ol> <hr /> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p>ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <hr /> <p> </p>
Sirindhorn College of Public Health Yala
th-TH
วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข
2985-0126
-
ประสบการณ์การใช้ชีวิตกับภาวะกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JERPH_Yala/article/view/4276
<p>ภาวะกลืนลำบากเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวันและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ผู้ที่มีปัญหาในการกลืนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเกิดภาวะสำลักและอาจนำไปสู่การเกิดปอดอักเสบจากการสำลักได้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีปัญหาการกลืนลำบากในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา การรวบรวมข้อมูลดำเนินการด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยและผู้ดูแล รวมทั้งหมด 12 ราย โดยคัดเลือกวิธีการแบบเจาะจง ใช้แนวคำถามกึ่งโครงสร้างในการเก็บข้อมูลจนถึงจุดอิ่มตัวของข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ข้อค้นพบจากการศึกษาพบประสบการณ์การใช้ชีวิตกับภาวะกลืนลำบากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 4 ประเด็น คือ (1) ภาวะกลืนลำบาก: ความทุกข์ที่ลึกซึ้งและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครอบครัว (2) การมีส่วนร่วมของครอบครัวและการสนับสนุนจากหน่วยงาน (3) การฟื้นคืนอัตลักษณ์และบทบาทในสังคม และ (4) อุปสรรคในการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบาก ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าข้อมูลสามารถนำไปใช้ในการวางนโยบายด้านการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีภาวะกลืนลำบาก นอกจากนี้ควรพัฒนาบริการในชุมชนพร้อมช่องทางให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องและประสิทธิภาพของการฟื้นฟู โดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะบุคคลของผู้ป่วย ความพร้อมและศักยภาพของครอบครัวรวมทั้งทรัพยากรของหน่วยบริการสุขภาพ เพื่อให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อไป</p>
อภิญญา ถิ่นเดิม
อุดมศรี เดชแสง
จุฬาภรณ์ เหตุทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-14
2025-11-14
4 1
1
18
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JERPH_Yala/article/view/4579
<p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุในอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล จำนวน 1,692 คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 73.8 มีความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันระดับที่ช่วยเหลือตัวเองได้ และยังพบว่า ปัจจัยด้านเพศ อายุ อาชีพ การมีโรคประจำตัว และการเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับ ADL ผู้สูงอายุเพศชายมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างมากกว่าเพศหญิง 1.69 เท่า (OR<sub>adj</sub> = 1.69) ผู้สูงอายุในช่วงอายุ 60-69 ปี และ 70-79 ปี มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างมากกว่ากลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป ในด้านอาชีพ พบว่าผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่น 2.71 เท่า นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคประจำตัวมีแนวโน้มที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างมากกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัวถึง 1.83 เท่า และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง 1.36 เท่า จากผลการศึกษา บุคลากรสาธารณสุขจึงควรส่งเสริมและจัดกิจกรรมที่เน้นการดูแลสุขภาพกาย จิตใจ และสังคมให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถรักษาความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันได้</p> <p> </p>
ปุญญพัฒน์ ไชยเมล์
สมเกียรติยศ วรเดช
ณัฐกานต์ นิลอ่อน
กวินธิดา จีนเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
4 1
33
49
-
การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน: บทบาทพยาบาลชุมชนและ ข้อเสนอเชิงนโยบาย
https://so12.tci-thaijo.org/index.php/JERPH_Yala/article/view/4361
<p>ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ระบบสุขภาพต้องตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนและต่อเนื่องของผู้สูงอายุ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางยั่งยืนในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยใช้ ชุมชนเป็นฐาน และเน้นบทบาทของพยาบาลชุมชน การวิเคราะห์ปัจจัยนำพบว่าผู้สูงอายุไทยเผชิญปัญหาหลัก ได้แก่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ภาวะเสื่อมถอยทางร่างกาย ปัญหาสุขภาพจิตจากความโดดเดี่ยว และการขาดโอกาสมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสร้างภาระต่อระบบสุขภาพ บทความนี้ใช้การวิเคราะห์เชิงแนวคิดและทบทวนวรรณกรรมเพื่อนำแนวคิดสำคัญ เช่น พฤฒพลัง, กฎบัตรออตตาวาและ โมเดลการมีส่วนร่วมของชุมชน มาบูรณาการเป็นกรอบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า พยาบาลชุมชนมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ ได้แก่การประเมินและวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ วางแผนและดำเนินการแบบมีส่วนร่วมกับผู้สูงอายุ ครอบครัว และชุมชน ประสานงานกับหน่วยบริการและองค์กรท้องถิ่น ให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุและครอบครัว และใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนานวัตกรรมการดูแลการดำเนินงานเหล่านี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีชีวิตอย่างมีคุณค่า ลดการพึ่งพาโรงพยาบาล และส่งเสริมความต่อเนื่องในการดูแล บทความเสนอข้อแนะนำเชิงนโยบายเพื่อเสริมศักยภาพพยาบาลชุมชนและพัฒนาระบบสนับสนุน เช่น งบประมาณ เครื่องมือดิจิทัล และหลักสูตรพัฒนาศักยภาพ แนวทางส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุเชิงชุมชนนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ยังสร้างชุมชนเข้มแข็ง และพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทยในยุคสังคมผู้สูงอายุ</p>
ปัณณทัต บนขุนทด
วิราพร สืบสุนทร
สิรินทรา ฟูตระกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและวิจัยการสาธารณสุข
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
4 1
19
32