วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI <p><strong>วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ </strong></p> <p><strong>ISSN : 2822-0056(Print) </strong><strong>ISSN 3027-8384 (Online)</strong></p> <p>รับพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทั้งบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่มีสาระเกี่ยวกับการศึกษา ปรัชญาการศึกษา การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการเรียนการสอน จิตวิทยาการศึกษาและแนะแนว นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา การวัดและการประเมินผลทางการศึกษา วิจัยและสถิติการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา การศึกษาพิเศษ การพัฒนาวิชาชีพครู พหุวัฒนธรรมศึกษา แหล่งวิทยาการการเรียนรู้และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม , ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> th-TH thinnakorn.c@nsru.ac.th (Asst.Prof. Dr.Thinnakorn Cha-umpong) eaijournal@nsru.ac.th (Mr.Rames Channarong) Tue, 31 Dec 2024 15:54:21 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ : แนวทางสำคัญ สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาประเทศญี่ปุ่น https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1504 <p> การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ เป็นแนวทางสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ได้รับการยอมรับและมีผลเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากการศึกษาที่ดีมีคุณภาพย่อมต้องเกิดจากการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ ซึ่งควรมุ่งส่งเสริม พัฒนา และสร้างสรรค์บริบทการเรียนรู้และพื้นที่ทางการเรียนรู้ ให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน โดยอาศัยสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมผู้เรียนในทุกช่วงเวลา ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้เห็นความสำคัญของการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ดังกล่าว ทั้งสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ภายในและภายนอกชั้นเรียน สิ่งเหล่านี้ส่งผลที่ดีต่อคุณภาพการศึกษา ทั้งในด้านครูผู้สอนที่มีความพร้อมในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมและพัฒนา ด้านผู้เรียนที่มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในทุกมิติ รวมทั้งด้านสถานศึกษาที่มีสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเรียนรู้อย่างอิสระและตรงจุดมุ่งหมายที่กำหนด การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ดังกล่าว จึงช่วยขัดเกลา เสริมสร้าง และพัฒนาให้คุณภาพการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับในระดับสากล และคุณภาพผู้เรียนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดการพัฒนาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ เปรียบได้กับแนวทางและกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นให้มีคุณค่าและความหมายที่สำคัญต่อการศึกษา ดังผลเป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบัน</p> กลมทิพย์ สำราญจักร, พรทิพย์ เขียวขำ, พัฒร ลอยเด่น, นางสาวมลวิภา เมืองพระฝาง, ณิรินทร์พัชร ปฐมพุทธิธรรม Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1504 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 SDG4 แนวคิดการเรียนรู้สู่เป้าหมายการศึกษาที่ยั่งยืน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1518 <p> สหประชาชาติได้กำหนดวัตถุประสงค์การพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศสมาชิกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเหล่านี้ภายในปีพ.ศ. 2573 บทความนี้พยายามที่จะมุ่งเน้นนำเสนอความสำคัญของประเด็นที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะแนวคิดของการศึกษาเป็นวิธีการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG4) ทุกภาคส่วนทุ่มเทอย่างร่วมมือเพื่อพัฒนาการพัฒนา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดลำดับความสำคัญของการริเริ่มด้านการศึกษาการบริหารการศึกษาจะต้องมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อความก้าวหน้าของสังคม ประเทศจะต้องบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนในขณะที่รักษาความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับมรดกทางวัฒนธรรมดังนั้นเพื่อขับเคลื่อนความคิดริเริ่มการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปการศึกษาที่ครอบคลุมในทุกภาคส่วนเนื่องจากความสามารถของการศึกษาทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพของประชากรภายในประเทศซึ่งต่อมามีอิทธิพลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลายมิติความคิดริเริ่มการปฏิรูปการศึกษาต้องรวมถึง 1) การปรับโครงสร้างและการปรับปรุงระบบของการจัดการการศึกษา 2) การปรับเปลี่ยนหลักสูตร 3) การเปลี่ยนแปลงการเตรียมการครูและการพัฒนาวิชาชีพ 4) นวัตกรรมในวิธีการสอน 5) ปฏิรูปการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้านการวัดและประเมินผล ซึ่งทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับการปฏิรูปเหล่านี้ มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและเตรียมพร้อมเพื่อเพิ่มทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> รวินันท์ นุชศิลป์, วันวิสาข์ พูลทอง, นภัทร์ธมณฑ์ น้อยหมอกุลเดช, ศิษฏนนท์ คุ้มจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1518 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 WATNONGGO Model : รูปแบบการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาโดยยึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1584 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาโดยยึดหลักการแบบมีส่วนร่วม ยึดหลักการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ผ่านการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยน้อมนำหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มาเป็นฐานรากการบริหาร สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยขับเคลื่อนการบริหารงานโดยทฤษฎีเชิงระบบ และพัฒนาด้วยวงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา มีการบริหารจัดการโดยใช้หลักการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม และหลักธรรมาภิบาล ตามเงื่อนไขคุณธรรม มีการกำกับ นิเทศติดตามและประเมินผลอย่างรอบคอบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งสู่ความเป็นสถานศึกษาแห่งความพอเพียง สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีความยั่งยืน เห็นความสำคัญของผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรของสถานศึกษาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และมีการทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ขององค์กร เพื่อสร้างองค์กรที่มีคุณภาพ และเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาที่ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> ไพศาล พินิจธรรม, ศุภวิชญ์ ดิษเจริญ, กัลญาภรณ์ เจริญพร, กัณฑิมา เผือกใต้ Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1584 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การขอเลื่อนวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ระหว่าง ว17/2552 , ว21/2560 และ ว9/2564 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1595 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษของข้าราชการครูในประเทศไทยที่เป็นขั้นตอนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของครู โดยมีหลักเกณฑ์ที่ปรับเปลี่ยน ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ ว17/2552, ว21/2560 และ ว9/2564 โดยคุณสมบัติของผู้ขอเลื่อนวิทยฐานะ ว17/2552 <br />คือ ครูที่ต้องการเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษต้องดำรงตำแหน่งครูชำนาญการมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีภาระงานสอนตามเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยมีการพัฒนาผู้เรียนต่อเนื่องในช่วง 2 ปี ส่วน ว21/2560 ครูต้องดำรงตำแหน่งครูชำนาญการไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีชั่วโมงสอนในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพไม่น้อยกว่า 50 ชั่วโมงต่อปี และ ว9/2564 คุณสมบัติลดลงเหลือ <br />4 ปีติดต่อกัน แต่ต้องมีการพัฒนาผลงานและผลการประเมินไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีข้อกำหนด การพัฒนาอาชีพ <br />ว17/2552 ประเมิน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านวินัย คุณธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ด้านความรู้ความสามารถ และด้านผลการปฏิบัติงาน ส่วน ว21/2560 เน้นประเมินด้านการจัดการเรียน การสอน ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน และการพัฒนาตนเอง สุดท้าย ว9/2564 ประเมิน 2 ด้าน คือ ด้านทักษะ การจัดการเรียนรู้ และการจัดการชั้นเรียนและด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน โดยต้องผ่านการประเมินไม่น้อยกว่าร้อยละ 70</p> <p> การประเมินเลื่อนวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษสะท้อนถึงการพัฒนาครูและการศึกษาพัฒนาตนเองของครูอย่างต่อเนื่อง มีการใช้เทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลเพื่อให้การสร้างและนำนวัตกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนรู้มีเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีข้อท้าทายในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการกำหนดมาตรฐานการประเมินที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนและผู้เรียนมากที่สุด</p> ทัตพงศ์ พานทองคำ, ธนพล คงดารา, ธนพัชร์ พุฒภัทรดา, ธิดารัตน์ ม่วงยิ้ม, นพกร โนจา, นวรัตน์ ปานเพชร, น้ำฝน ยาปัน, เบญจมาศ วงค์บุตรดี, ปรียาวลี ชาวอ่างทอง, สถิรพร เชาวน์ชัย Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1595 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การติดตามและประเมินผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1620 <p> บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นศึกษาและประเมินผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยทางการเรียนในรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ปรับเปลี่ยนไป เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้ผู้เรียนต้องเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์หรือที่บ้านมากขึ้น มีปัญหาไม่ต่อเนื่องในการเรียนรู้ และทักษะที่เคยมีอยู่เกิดการถดถอย ทำให้ผู้เรียนขาดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงเทคโนโลยี และเกิดปัญหาสุขภาพจิตจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาทั่วโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนจากการเรียนในห้องเรียนมาเป็นการเรียนออนไลน์หรือการเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้าน ทำให้ผู้เรียนขาดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา เกิดปัญหาการประเมินระดับความรู้และทักษะของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อวางแผนการเรียนการสอนที่เหมาะสม นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปรับตัวเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียน โดยการจัดสรรงบประมาณอย่างทั่วถึง การพัฒนาวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการเรียนการสอน การสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> <p> การติดตามและประเมินผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนจะทำให้เข้าใจถึงสภาพปัญหา ผลกระทบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียน จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง สามารถวางแผนและดำเนินการเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูการศึกษาให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางการเรียนที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาต่อไป</p> ปวีณวัชร์ ขุนเทียนเขมชาติ, สาธร ทรัพย์รวงทอง, กัลญาภรณ์ เจริญพร Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1620 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับแนวทางการพัฒนากรอบความคิด เพื่อเสริมสร้างกรอบความคิดเติบโต และความเป็นนวัตกร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1330 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบร่วมกับแนวทางการพัฒนากรอบความคิด (2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของโปรแกรม ฯ (3) ทดลองใช้โปรแกรม ฯ และ (4) ประเมินผลโปรแกรม ฯ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 31 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ โปรแกรม ฯ คู่มือการใช้โปรแกรมฯ แบบบันทึกภาคสนาม แบบประเมินกรอบความคิดเติบโต แบบประเมินความเป็นนวัตกร แบบบันทึกการเรียนรู้ และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเข้าร่วมโปรแกรม ฯ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ t-test Dependent Samples และ t-test one Samples ผลการวิจัยพบว่า <br /> 1) ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาโปรแกรม ฯ ประกอบด้วย สภาพปัญหาและความต้องการ สาระการเรียนรู้ และกระบวนการส่งเสริมกรอบความคิดเติบโตและความเป็นนวัตกร 2) โปรแกรม ฯ ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล (3) นักเรียนมีกรอบความคิดเติบโตหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองใช้โปรแกรม ฯ อย่างมีนัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีคะแนนความเป็นนวัตกรของนักเรียนหลังการทดลองใช้โปรแกรมคิดเป็นร้อยละ 83.40 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (4) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ของโปรแกรม ฯ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> วุฒิพันธ์ เทศคลัง, วารีรัตน์ แก้วอุไร Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1330 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1239 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทยชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ด้วยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 59 คน โดยจำแนกได้ 6 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านการศึกษา ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านอาจารย์ผู้สอน ปัจจัยด้านการวางแผนชีวิต และปัจจัยด้านความสนใจในการประกอบอาชีพครู เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามออนไลน์ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูล<br />โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจการเลือกศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านอาจารย์ผู้สอนมากที่สุด รองลงมา คือปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านการวางแผนชีวิตมากที่สุด รองลงมาคือ ปัจจัยด้านสถานศึกษา รองลงมาคือ ปัจจัยด้านความสนใจในการประกอบอาชีพครู และปัจจัยด้านสังคม ตามลำดับ</p> สุทธิลักษณ์ สวรรยาวิสุทธิ์, ฐนพรรณ ธูปหอม, นันทิญา พันธ์โชติ Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1239 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีม โรงเรียนในอำเภอพรหมพิรามสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1377 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในอำเภอพรมพิราม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ 2) ศึกษาระดับการทำงานเป็นทีม โรงเรียนในอำเภอพรหมพิราม สังกัดสำนักงานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีม โรงเรียนในอำเภอพรหมพิราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา อำเภอพรหมพิราม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 โรงเรียน เป็นจำนวน 80 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 7 คน โดยวิธีเจาะจง และครูจำนวน 73 คน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ 2) การทำงานเป็นทีมโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีเป้าหมายร่วมกัน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสื่อสารที่ดี และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีม โรงเรียนในอำเภอพรหมพิรามสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ปานศศิน เคยเหล่า, ปิยรัชนี ประไพรภูมิ, พิมตระการ กองตุ้ย, ภัทราภรณ์ หอมจันทร์, ภัทริกา ศรีภา, สถิรพร เชาวน์ชัย Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1377 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพและแนวทางการดำเนินงานวิชาการ ของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1388 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก 2) ศึกษาแนวทางการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 56 คน โดยการสุ่มแบ่งชั้นและผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 3 คน ได้มาโดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการศึกษาสภาพการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก และแบบสัมภาษณ์แนวทางการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก ด้านการส่งเสริมสนับสนุนทางวิชาการภารกิจหน้าที่อื่นๆตามบทบาทโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการอบรมผู้บริหาร และครูตามหลักสูตรพัฒนาการเตรียมความพร้อมการเป็นโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และ 2. ผลการศึกษาแนวทางในการดำเนินงานวิชาการของโรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ จังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารควรให้การสนับสนุน นิเทศติดตามการพัฒนาครูด้านอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน สนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรม ผู้บริหารและครูร่วมกันจัดทำแผนคุณภาพ แผนนิเทศติดตาม โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และมีแนวทางการจัดกิจกรรมโดยกำหนดให้ผู้บริหารและครูร่วมกันวางแผนเพื่อตรวจสอบการพัฒนาศักยภาพในด้านทักษะการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนให้มีประสิทธิผล</p> พงษ์สิทธิ์ แสงอรุณ, พรรณนิภา เนื้อสีจัน, พิชญาพร แจงทอง, ภัควลัญชญ์ ดีเกิด, มนทิญา ปั้นสำลี, สถิรพร เชาวน์ชัย Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1388 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1263 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ และเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูที่มีต่อสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ โดยจำแนกตามการดำรงตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้บริหาร 23 คน และครู 310 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 333 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ ที่มีค่าความเที่ยง 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐาน โดยการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่างแบบรายคู่โดยใช้วิธีของเชฟเฟ ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> 1) สภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ โดยภาพรวมอยูในระดับมาก ด้านที่มีสภาพสูงสุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษา รองลงมา คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้</p> <p> 2) ความคิดเห็นของผู้บริหารและครู ที่มีต่อระดับสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ จำแนกตาม การดำรงตำแหน่ง มีความคิดเห็นโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษา มีความคิดเห็นโดยภาพรวมแตกต่างกัน และส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่มีประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงานวิชาการในยุควิถีใหม่ โดยภาพรวมแตกต่างกัน เมื่อทำการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่พบว่าประสบการณ์ทำงาน น้อยกว่า 5 ปี กับ 5 - 10 ปี มีความคิดเห็นต่อสภาพด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอน ผลการเรียน ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการพัฒนา แหล่งการเรียนรู้ และด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สุชาติ ท้าวเมือง, นันธวัช นุนารถ, ฐิตินันท์ ด้วงสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1263 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การบริหารเพื่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนวัดสิงห์ ด้วยกลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1552 <p> การบริหารเพื่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนวัดสิงห์ ด้วยกลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐานมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพและความต้องการการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนวัดสิงห์ 2. สร้างกลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน 3. ศึกษาผลการใช้กลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน 4. ปรับปรุงพัฒนากลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา ประชากร ได้แก่ คณะครู คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนวัดสิงห์ จำนวน 1,452 กลุ่มคณะครูและคณะกรรมการสถานศึกษา ดำเนินการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) กลุ่มผู้ปกครองและนักเรียน สุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนวัดสิงห์ตามมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน โดยรวมมีสภาพการดำเนินงาน อยู่ในระดับปานกลาง มีความต้องการดำเนินการ จำนวน 14 ข้อ 2.กลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐานของโรงเรียนวัดสิงห์ ประกอบด้วยวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ โครงการ 3.ผลการใช้กลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน พบว่าการประเมินคุณภาพภายในของโรงเรียนวัดสิงห์ มีผลดีเลิศ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเป้าหมาย ผ่านการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 95.85 ได้รับรางวัล จำนวน 282 รางวัล คณะครูมีผลการประเมินสมรรถนะการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ร้อยละ 96.75 ได้รับรางวัล จำนวน 19 รายการ โรงเรียนวัดสิงห์ ได้รับรางวัล จำนวน 3 รางวัล มีหน่วยงานมาศึกษาดูงาน จำนวน 6 หน่วยงาน นักเรียนได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระดับ 2 ขึ้นไป ร้อยละ 98.79 คน มีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 95.85 คน 4.กลยุทธ์โรงเรียนดีมีคุณภาพตามมาตรฐาน ของโรงเรียนวัดสิงห์ ฉบับปรับปรุง ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ โครงการ ตัวชี้วัดความสำเร็จ</p> เสกสรร คำสำรวย Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1552 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพการสื่อสารเชิงอารมณ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1673 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการสื่อสารเชิงอารมณ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 288 คน ได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างให้เหมาะสมกับตัวแปรตามกรอบแนวคิดในการวิจัย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการสื่อสารเชิงอารมณ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.96 และค่าความตรงเท่ากับ 0.67-1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> การสื่อสารเชิงอารมณ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถทางอารมณ์ 3) การสื่อสารเชิงอารมณ์ และ 4) ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม และสภาพการสื่อสารเชิงอารมณ์เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ด้านภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการสื่อสารเชิงอารมณ์ และด้านความสามารถในการสื่อสาร ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความสามารถทางอารมณ์</p> อภิญรัตน์ สุนทรพรพันธ์, ศุภศิริ บุญประเวศ, สุขุม เฉลยทรัพย์, สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1673 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700