https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/issue/feed วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา 2024-08-31T22:48:27+07:00 Asst.Prof. Dr.Thinnakorn Cha-umpong thinnakorn.c@nsru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ </strong></p> <p><strong>ISSN : 2822-0056(Print) </strong><strong>ISSN 3027-8384 (Online)</strong></p> <p>รับพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทั้งบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่มีสาระเกี่ยวกับการศึกษา ปรัชญาการศึกษา การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการเรียนการสอน จิตวิทยาการศึกษาและแนะแนว นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา การวัดและการประเมินผลทางการศึกษา วิจัยและสถิติการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา การศึกษาพิเศษ การพัฒนาวิชาชีพครู พหุวัฒนธรรมศึกษา แหล่งวิทยาการการเรียนรู้และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม , ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1487 การวิจัยเชิงปฏิบัติการกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2024-08-06T20:26:34+07:00 ไชยรัตน์ ปราณี c.pranee@hotmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เป็นการวิจัยประยุกต์ โดยเป็นการวิจัยที่มุ่งใช้กระบวนการวิจัยและผลวิจัยไปใช้ในการพัฒนา ปรับปรุง การปฏิบัติงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ มากกว่า การมุ่งสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ของ<br>ศาสตร์ต่าง ๆ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติ ในฐานะเป็นนักวิจัยและผู้ปฏิบัติส่วนหนึ่งในการวิจัย เน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเน้นวิธีการ การปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการปฏิบัติงาน <br>เป็นกระบวนการที่ทำอย่างต่อเนื่องซึ่งประกอบด้วย การกำหนดปัญหา การเก็บรวบรวมข้อมูล การสะท้อนผล และการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้นการนำเอากระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการมาเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพการศึกษา <br>โดยมีครูและบุคลากรทางการศึกษาและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยเอง ด้วยแนวคิดดังกล่าวการวิจัยเชิงปฏิบัติการ<br>จึงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่สำคัญที่ จะทำให้คุณภาพการศึกษาของประเทศบรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ได้</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1327 การพัฒนารูปแบบการบริหารชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก สู่คุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนวัดยางงาม (ประชาพัฒนา) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 2024-06-30T12:52:09+07:00 ณัฐมนต์ พงษ์พิชญปัญญา phongphitchayapanya@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบ 2) สร้างรูปแบบฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบฯ และ 4) ประเมินรูปแบบฯ 1 เป็นการวิจัยและพัฒนาผสมผสานของการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิธีดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอน ที่1) วิเคราะห์องค์ประกอบ กลุ่มเป้าหมาย ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน ผู้บริหาร ครู 400 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ ,แบบสอบถาม ขั้นตอน ที่ 2) สร้างรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบตรวจสอบรูปแบบและคู่มือ ขั้นตอนที่ 3) ทดลองใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย คือ ศึกษานิเทศก์ 1 คน ครูผู้สอน 8 คน รวม 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรม,แบบบันทึกผลงาน ขั้นตอนที่ 4) การประเมินรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหาร 1 คน ครูผู้สอน 8 คน ศึกษานิเทศก์ 1 คน ตัวแทนคณะกรรมการสถานศึกษา 1 คน ตัวแทนผู้ปกครอง คน 8 คน รวม 19 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึก,แบบประเมินรูปแบบ, แบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ วิเคราะห์เนื้อหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) วิเคราะห์องค์ประกอบได้ 7 องค์ประกอบ ประกอบด้วย การมีส่วนร่วม การนิเทศติดตาม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพ ภาวะผู้นำ ภาคีเครือข่ายการจัดการเรียนรู้ การส่งเสริมการเรียนรู้ 2) รูปแบบและคู่มือการ มีความเหมาะสม 3) ผลการพัฒนาหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้ตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีผลงานเกียรติบัตรรางวัลเพิ่มขึ้น 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า 1) ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเพิ่มสูงขึ้น 2) รูปแบบมีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมาก ความเป็นประโยชน์ และ 3)ความพึงพอใจต่อการดำเนินงาน อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1069 ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2024-03-15T11:26:19+07:00 อำภา คงพินิจ ampha.kh11@gmail.com สมชัย ชวลิตธาดา eaijournal@nsru.ac.th วิเชียร อินทรสมพันธ์ eaijournal@nsru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 337 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สัน (Pearson's product moment correlation) วิเคราะห์พหุคูณแบบขั้นตอนโดยวิธี Stepwise (StepwiseMultiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายข้อ พบว่า ด้านการสร้างชุมชน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการให้บริการ ส่วนด้านการเป็นผู้ฟังที่ดี มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) มาตรฐานการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายข้อ พบว่า ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการจัดการเรียนรู้ ส่วนด้านการปฏิบัติหน้าที่ครู มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และ 3) ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารส่งผลต่อมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร เรียงตามลำดับอิทธิพลจากมากไปหาน้อยดังนี้ การสร้างชุมชน (X10) และการอุทิศตนเพื่อพัฒนาบุคคล (X9) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู ของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถพยากรณ์มาตรฐานการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ได้ร้อยละ 47.00</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1068 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2024-04-21T20:28:51+07:00 รุ่งนภา รักสม rungnaparaksom@gmail.com สมชัย ชวลิตธาดา eaijournal@nsru.ac.th วิเชียร อินทรสมพันธ์ eaijournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจใน การปฏิบัติงานของครู และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ได้แก่ ครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 337 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ ข้อมูลโดยการหา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านมิตรภาพและการยอมรับ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ส่วนด้านการกระตุ้นทางปัญญา มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านมิตรภาพและการยอมรับ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านคุณค่าของงาน ส่วนด้านความมั่นคง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 ในภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง ซึ่งเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การคำนึงถึงการเป็นปัจเจกบุคคลมีความสัมพันธ์กับความท้าทายและความหลากหลายในงาน มากที่สุด รองลงมาการคำนึงถึงการเป็นปัจเจกบุคคลมีความสัมพันธ์กับมิตรภาพและการยอมรับ ส่วนการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่ดี น้อยที่สุด</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1188 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนครพนม 2024-04-30T12:53:00+07:00 คณายุทธ แสนสิทธิ์ kruyodnaja@gmail.com อัครวัฒน์ บุปผาทวีศักดิ์ eaijournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ 2) ประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนครพนม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน 78 คน และครู 181 คน รวมทั้งสิ้น 259 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มี 2 ฉบับ คือ 1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96 2) แบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจัดลำดับความสำคัญความต้องการจำเป็น โดยใช้สูตร Modified Priority Needs Index ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ความต้องการจำเป็นการพัฒนาโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นโดยรวมเท่ากับ .041 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีจำนวน 1 ด้าน ที่มีค่าสูงกว่าค่าโดยรวม คือ ด้านที่ 3 การสร้างความเป็นเพื่อนร่วมงาน และชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1187 สภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวทางแก้ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม 2024-05-24T09:32:21+07:00 ชาญชัย ภูมิประเสริฐ 626150110171@npu.ac.th จารุวรรณ เขียวน้ำชุม eaijournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบสภาพปัจจุบันการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 2) ศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 34 คน และครู จำนวน 189 คนรวมทั้งสิ้น 223 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .91 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที (t-test แบบ Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สภาพปัจจุบันการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการเปรียบเทียบการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา โดยภาพรวม พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการเปรียบเทียบการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา จำแนกตามขนาดสถานศึกษา ระหว่างขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่และใหญ่พิเศษ โดยภาพรวมแตกต่างกันมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) แนวทางแก้ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยในสถานศึกษา ทำให้เห็นบทบาทของบุคลกรในสถานศึกษาในการจัดการขยะมูลฝอย ทำให้เกิดผลดีต่อสถานศึกษาชุมชน คือ ก่อเกิดการจัดการขยะที่ถูกสุขลักษณะ การกำจัดขยะอย่างถูกวิธี หรือลดการผลิตขยะ ในขณะที่เดียวกันก็ก่อเกิดผลต่อสังคมคือ เป็นการสร้างความรับผิดชอบและจิตสำนึกในทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1189 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานของ การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม 2024-05-23T08:56:41+07:00 ชัชชัย คำน้อย nui23072529richard@gmail.com อัครวัฒน์ บุปผาทวีศักดิ์ eaijournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการดำเนินงาน การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม และ 2) ประเมินความต้องการจำเป็นในการดำเนินงาน การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 103 คน ครูผู้รับผิดชอบเด็กพิเศษ จำนวน 103 คน ครูที่ไม่ได้รับผิดชอบเด็กพิเศษ จำนวน 103 คน รวมทั้งสิ้น 309 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบตารางของ Krejcie and Morgan กลุ่มตัวอย่างได้มาจากสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 2 ฉบับ คือ 1. แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน ในการดำเนินงานการจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 2. แบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ในการดำเนินงานการจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจัดลำดับความสำคัญ ความต้องการจำเป็น โดยใช้สูตร Modified Priority Needs Index ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สภาพปัจจุบันของในการดำเนินงาน การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ของในการดำเนินงาน การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานการจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนเรียนรวม จังหวัดนครพนม เรียงลำดับค่าสูงที่สุดไปหาต่ำที่สุด ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านคุณภาพผู้เรียน ด้านการมีส่วนร่วมในการเรียนรวม และด้านกระบวนการบริหาร ตามลำดับ</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1054 นวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัญญาประดิษฐ์ 2024-03-06T22:59:39+07:00 พรพิมล บัวระภา buaraphab24@gmail.com ประเวศ เวชชะ eaijournal@nsru.ac.th สุวดี อุปปินใจ eaijournal@nsru.ac.th <p> การศึกษาอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัญญาประดิษฐ์ โรงเรียนบ้านป่าไร่หลวงวิทยา(ตชด.ช่างกลปทุมวันอนุสรณ์9) ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา คณะกรรมการบริหารหลักสูตร คณะกรรมการสถานศึกษา ตัวแทนชุมชน ผู้ปกครอง นักเรียน จำนวน 59 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญผลการศึกษา พบว่า</p> <p> นวัตกรรมในการบริหารจัดการหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของโรงเรียนบ้านป่าไร่หลวงวิทยา(ตชด.ช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 9) ที่สอดคล้องกับยุคปัญญาประดิษฐ์ ได้มาซึ่งประเด็นยุทธศาสตร์ 4 มิติ ขององค์การ คือ มิติ ที่ 1 ด้านประสิทธิผล มี 2 ยุทธศาสตร์ มี 4 โครงการ มิติที่ 2 ด้านคุณภาพการให้บริการ มี 4 ยุทธศาสตร์ มี 6 โครงการ มิติ ที่ 3 ด้านประสิทธิภาพกระบวนการภายในมี 3 ยุทธศาสตร์ มี 4 โครงการ มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์กร และบุคลากร มี 3 ยุทธศาสตร์ มี 4 โครงการ</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1456 การสร้างแบบทดสอบวัดความอ่อนตัวแบบเคลื่อนไหวของข้อไหล่ 2024-07-22T11:34:31+07:00 ธนสิริ โชคทวีพาณิชย์ thanasiri.c@nsru.ac.th สยาม ทองใบ eaijournal@nsru.ac.th สุทธิกร แก้วทอง eaijournal@nsru.ac.th <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบทดสอบความอ่อนตัวแบบเคลื่อนไหวของข้อไหล่ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษา สาขาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ที่มีสถานะศึกษาอยู่ และมีการลงทะเบียนในภาคเรียนที่ 2/2566 ไม่น้อยกว่า 15 หน่วยกิต จำนวน 124 คน แบ่งเป็น เพศชาย 89 คน และเพศหญิง 35 คน โดยนำแบบทดสอบความอ่อนตัวแบบเคลื่อนไหวของข้อไหล่ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยใช้วิธิีการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง และนำไปหาค่าความเชื่อถือได้ โดยใช้วิธีการทดสอบซ้ำ และความเป็นปรนัย โดยใช้ผู้ประเมิน 2 ท่าน ระยะเวลาห่างกัน 2 วัน นำผลคะแนนที่ได้มาสร้างเกณฑ์ปกติ ของแบบทดสอบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าคะแนน ที (T-score) ในการสร้างเกณฑ์ปกติ ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> จากข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ พบว่า แบบทดสอบความอ่อนตัวแบบเคลื่อนไหวของข้อไหล่วัดมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของกลุ่มกล้ามเนื้อ และกระดูกของข้อไหล่ โดยมีค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 1.00 และความเหมาะสมของแบบทดสอบ เท่ากับ 0.92 ค่าความเชื่อถือได้ ในเพศชาย เท่ากับ 0.946 และเพศหญิง เท่ากับ 0.963 และความเป็นปรนัย เพศชาย เท่ากับ 0.972 และเพศหญิง เท่ากับ 1.000 โดยทดสอบความมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า แบบทดสอบนี้มีคุณภาพที่ดีสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับนักศึกษา สาขาวิชาพลศึกษา และสามารถนำไปเทียบค่ากับเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาความอ่อนตัวของข้อไหล่ โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ซึ่งในเพศชาย มีอันตรภาคชั้น เท่ากับ 19 ซม. (ค่าสูงสุด 39 ซม. และต่ำสุด 135 ซม.) และเพศหญิง มีอันตรภาคชั้น เท่ากับ 13.6 ซม. (ค่าสูงสุด 30 ซม. และต่ำสุด 98 ซม.)</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1442 การพัฒนาคู่มือการจัดกิจกรรมทางกายสำหรับนักศึกษา สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 2024-07-22T20:07:43+07:00 อังศุมาลิน ติดตระกูลชัย aomaungsumalin.a@gmail.com ปรียาภรณ์ คงแก้ว eaijournal@nsru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) พัฒนาคู่มือการจัดกิจกรรมทางกายสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 2) ประเมินคู่มือการจัดกิจกรรมทางกายสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มีขั้นตอนการวิจัย 2 ดังนี้ 1) พัฒนาคู่มือการจัดกิจกรรมทางการ 2)ประเมินคู่มือการจัดกิจกรรมทางกาย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้มาโดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น 1) แบบประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือการจัดกิจกรรมทางกาย 2)แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้คู่มือการจัดกิจกรรมทางกาย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดย วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน เป็นรายข้อ และนำเสนอเป็นตารางประกอบความเรียง ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> คู่มือการจัดกิจกรรมทางกายสำหรับนักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มีองค์ประกอบดังนี้ หน้าปกคู่มือ คำนำ สารบัญ คำแนะนำในการใช้คู่มือวัตถุประสงค์ ประโยชน์ของคู่มือ ส่วนประกอบของคู่มือ เนื้อหา สื่อ และ แหล่งข้อมูลเพื่อศึกษาเพื่อเติม ผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือในการนำคู่มือไปใช้ ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นโดยรวมว่า คู่มือความเหมาะสมในการนำไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด (มีค่าเฉลี่ย =4.76) และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้คู่มือการจัดกิจกรรมทางกาย พบว่า โดยรวมมีระดับความพึงพอใจของผู้ใช้คู่มืออยู่ในระดับมากที่สุด (มีค่าเฉลี่ย =4.76)</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1384 ผลการบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลพบุรี 2024-07-05T02:40:01+07:00 หทัยชนก สดับสาร monkeynumfon@gmail.com กรวุฒิ แผนพรหม eaijournal@nsru.ac.th เฉลิมชัย หาญกล้า eaijournal@nsru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา 2) วิเคราะห์ปัญหาการบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) สังเคราะห์แนวทางแก้ไขปัญหาการบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 304 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษามีอิทธิพลต่อประสิทธิผลสถานศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลพบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ปัญหาของการบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลพบุรี คือผู้บริหารไม่สามารถใช้สื่อออนไลน์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร การประชุมงานชี้แจงแนวทางปฏิบัติงาน ตอบคำถามปัญหาต่างๆ รวมทั้งประสานงานต่างๆ ทั้งในหน่วยงานและต่างหน่วยงาน รวมถึงไม่สามารถนำเสนอผลผ่านหรือจัดเก็บข้อมูลและใช้โปรแกรมต่างๆ ได้ และ 3) แนวทางแก้ไขปัญหา คือ ผู้บริหารควรส่งเสริมการอบรมการใช้สื่อออนไลน์จัดประชุม เพิ่มช่องทางการติดต่อและขยายเวลาในการรายงานเหตุการณ์ผ่านสื่อออนไลน์นอกเวลางานได้ในกรณีเร่งด่วน นำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการข้อมูลด้านงบประมาณออนไลน์ จัดทำแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่บนสื่อออนไลน์ ข้อมูลการเลื่อนเงินเดือนผ่านสื่อออนไลน์ควรเก็บรักษาเป็นความลับ จัดหาเครือข่ายให้ความรู้และนิเทศ และ ประสานงานผ่านสื่อออนไลน์โดยมีกลุ่มสนทนากลุ่มย่อย</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>บริหารงานสถานศึกษา, สื่อออนไลน์, ผู้บริหารสถานศึกษา, การบริหารงานสถานศึกษาผ่านสื่อออนไลน์</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา https://so12.tci-thaijo.org/index.php/EAI/article/view/1499 การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ 2024-08-25T19:27:46+07:00 ศิวดล วราเอกศิร eaijournal@nsru.ac.th ชุติมา ช้างขำ chutimachuchi@gmail.com รัศมี ราชบุรี eaijournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ให้มีประสิทธิภาพ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ได้มาโดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างแบบวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) &nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์ 2) แบบประเมินคุณภาพหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ มีประสิทธิภาพ 83.15/86.85</p> <p>&nbsp;2) ด้านความพึงพอใจของนักเรียนต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ อยู่ในระดับมาก</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษา